ที่เห็นและเป็นไป : สารพัดคำถามที่รอคำตอบ

ที่เห็นและเป็นไป : สารพัดคำถามที่รอคำตอบ

ถึงวันนี้ทุกคนดูเหมือนมีเรื่องต้องแลกเปลี่ยนทั้งความรู้ ความคิด และที่ควรทบทวนตัวเองกันมากมาย

ทำไม “เพื่อไทย” ได้รับเลือกตั้งน้อยกว่า “ก้าวไกล”

อะไรทำให้กระแส “ก้าวไกลฟีเวอร์” กระโจนจากโลกออนไลน์มากระหึ่มในโลกจริงบนท้องถนน

Advertisement

“ทักษิณ ชินวัตร” อายุมาก และอยู่ห่างประเทศไทยนานจนเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น หนุ่มสาว น้อยลง จมอยู่กับความรู้ตามตำราที่คิดว่าตัวเองอ่านมาก แล้วคิดเอาเองว่ามันคือคำตอบที่ถูกต้อง หยิบมาใช้แล้วจะอธิบายเรื่องราวทั้งจักรวาลโดยใครก็ไม่มีทางโต้แย้งได้ หรือเปล่า

“เพื่อไทย” จะจัดการอย่างไรกับการแบ่งปันเก้าอี้รัฐมนตรีด้วยวัฒนธรรมการเมืองเก่าที่ให้ความสำคัญกับโควต้าบ้านใหญ่ ขณะที่ “ก้าวไกล” พยายามนำสู่วัฒนธรรมใหม่ เอาภารกิจตามนโยบายและคุณสมบัติด้านความมุ่งมั่น ความรู้ ความสามารถมาเป็นตัวเปรียบเทียบ

“ภูมิใจไทย” จะเปลี่ยนเกมที่มีแนวโน้มว่าจะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์ส่วนตัวของผู้นำจิตวิญญาณพรรค ด้วยแค่ประกาศปฏิเสธการสนับสนุน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ซึ่งเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย แล้วอะไรต่ออะไรจะดีขึ้นได้จริงหรือ

Advertisement

“ประชาธิปัตย์” จะกลับไปที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และหวังว่า “ชวน หลีกภัย” จะช่วยฟื้นฟูคะแนนเสียงปักษ์ใต้ที่เป็นฐานสำคัญกลับขึ้นมาใหม่ได้ ด้วยความหวังว่าหลัง “3 ป.” ที่พ่ายแพ้จะอำลาการเมือง และ “รวมไทยสร้างชาติ” กับ “พลังประชารัฐ” จะสลายตัวไปตามทฤษฎีพรรคเฉพาะกิจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน และ “นักการเมืองอาชีพ” หาทางถอนทุนไม่ได้ หรือไม่

อะไรที่ทำให้ “พรรคไทยภักดี” ซึ่งมีชื่อเสียงระดับได้รับเลือกไปร่วมดีเบตหลายเวที และมีผู้รู้จักมากกว่า ได้คะแนนไม่พอจะทำให้มี ส.ส.แม้แต่คนเดียว ขณะที่ “พรรคที่แทบไม่มีใครสนใจ ไม่มีคนรู้จัก และไม่ได้รับเชิญมาร่วมดีเบตกับใครสักครั้งเดียว” กลับได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคละ 1 คน ไม่ว่าจะเป็น “ประชาธิปไตยใหม่-ครูไทยเพื่อประชาชน-เป็นธรรม-พลังสังคมใหม่-ใหม่-ท้องที่ไทย”

และอะไรต่ออะไรอีกมาย ที่เป็นคำถามที่น่าสนใจสำหรับความใคร่รู้ในคำตอบ

แต่ก็นั่นแหละ ดูเหมือนทุกคนจะมีภารกิจที่จำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า เรื่องราวเหล่านั้นเป็นแค่ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้

คำถามที่ทุกคนอยากรู้มากกว่าคือ

จะมี “ส.ว.” อีกกี่คนที่เข้าใจกระแสลมแห่งความเปลี่ยนแปลง เข้าใจความหวังความฝันของคนหนุ่ม คนสาว กับอนาคตที่ฝากไว้กับความเปลี่ยนแปลงนั้น เข้าใจความสิ้นหวังต่อสภาวะที่จมปลักมาเนิ่นนาน และมี ส.ว.หลายคนพยายาม “แช่แข็งสังคมไทย” ไว้กับสภาวะนั้น

ประชาชนที่ร่วมขบวนก่อความเปลี่ยนแปลง จะมีพลังพอปกป้อง “พรรคและคนที่เลือกให้เป็นผู้นำที่จะนำความหวังฟันฝ่าไปสู่อนาคตตามที่ฝันหรือไม่”

กลไกที่ดีไซน์ไว้เพื่อขัดขวางความเปลี่ยนแปลง จัดการกับความหวัง ทำลายความฝัน จะคลี่คลายตัวเองมองเห็นความเปลี่ยนไปที่ไม่สมควรกีดขวางนั้น และปรับจูนความคิดตัวเองเสียใหม่ เพื่อยืนอยู่ข้างเดียวกับลูกหลานที่ต้องรับผิดชอบต่ออนาคตของประเทศ

ผู้ที่เลือกความหวังให้กับอนาคตของลูกหลานเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

พวกเขาเริ่มจากใช้สิทธิตามกฎหมาย และคาดหวังว่าทุกสิ่งอย่างในประเทศนี้จะดำเนินไปตามครรลองของอำนาจแห่งสิทธิของพวกเขา

เพียงแต่ประเทศนี้ดูเหมือนมีคนที่ไม่พร้อมจะเคารพสิทธิตามอำนาจของคนส่วนใหญ่

และคนเหล่านั้นเชื่อว่าตัวเองเสียงดัง และมีพลังมากกว่า

แต่นั่นจริงหรือไม่

หากไม่หลงยุคกันมากเกินไป ย่อมรับรู้ได้ไม่ยากว่าคำตอบอยู่ในโลกออนไลน์

โลกออนไลน์ที่แปรเปลี่ยนเป็นโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว และทรงพลัง

อย่างที่สร้างความงงงันในทุกมิติให้กับ “คนในโลกเก่า” ต้องตื่นตะลึงมาแล้ว ในผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา

เพียงแต่คนเหล่านั้น ถึงวันนี้ทำใจให้เชื่อได้ไหมว่า “โลกเปลี่ยนไปแล้ว” เปลี่ยนไปอย่างที่พวกเขาอาจจะไม่มีวันเข้าใจได้

และคำตอบว่า “ทำใจได้หรือไม่” นั่นเอง ที่เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบว่า “ลูกๆ หลานๆ จะได้อนาคตที่หวังได้ของพวกเขาคืน” แทน “ความฝันที่ถูกแช่แข็ง” หรือไม่

สุชาติ ศรีสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image