ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
ชื่อคอลัมน์ของสัปดาห์นี้อาจจะแปลกตาไม่คุ้นเคยสักหน่อย สำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมของการ์ตูนมังงะ แอนิเมชั่น และนิยายไลต์โนเวลญี่ปุ่น หรือที่อาจจะเรียกเหมารวมว่า “วัฒนธรรมโอตาคุ” แต่ถ้าท่านผู้อ่านที่เข้าใจ เราคือเพื่อนกัน
ตามคำอธิบายจากสารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย “ซึนเดะเระ” (Tsundere) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกบุคลิกที่แรกเริ่มเดิมทีดูประหนึ่งไม่เป็นมิตร ดูเย็นชา หรือฉุนเฉียวง่าย แต่มาภายหลังหรือลึกๆ แล้วอ่อนไหวหรืออ่อนหวาน คำนี้ประสมจากคำ “ซึนซึน” (Tsun Tsun) อันแปลว่า ร้ายกาจ โมโหร้าย หรืออารมณ์ร้อน กับคำ “เดเระเดเระ” (Dere Dere) ที่หมายความว่า อ่อนหวาน หรือชดช้อย จริงๆ คำนี้เป็นคำแสลงที่เริ่มขึ้นในราวปี 2004 เป็นต้นมานี้เอง
อ่านจากคำอธิบายข้างต้นแล้วน่าจะไม่เห็นภาพเท่าไร แต่ถ้าให้เล่าเป็นเรื่อง ก็จะเห็นภาพมากขึ้น
กรณีสมมุติของสาวน้อยวัยมัธยมปลายคนหนึ่ง สมมุติชื่อน้อง “สะวะจัง” มักจะแสดงท่าทีให้คนทั่วไปรู้สึกว่า เขาชิงชังรังเกียจชายหนุ่มหน้าหวานนาม “พิตะคุง” เหลือเกิน โดยมักจะพูดกับคนอื่นว่า แสนจะเกลียดพิตะคุง ด้วยว่าเขาเป็นตัวปัญหาของห้อง ไม่เคารพครูประจำชั้น ถือว่าเรียนเก่งบ้านรวยหน้าตาดีแล้วไม่แคร์สังคม ไอ้คนอย่างนายคนนี้น่ะนะ ใครจะไปคบหาด้วย ฯลฯ
แต่วันฝนตกหนักวันหนึ่ง ปรากฏว่า พิตะคุงลืมเอาร่มมา เลยติดฝนอยู่โรงเรียน ขณะที่เขากระวนกระวายอยู่นั้น ก็ปรากฏว่ามีมือน้อยๆ ข้างหนึ่ง ยื่นร่มสีชมพูน่ารักมาให้ เมื่อหันไปมองก็เป็นสะวะจังนั่นเอง เธอก็ไม่ยอมมองหน้าเขา ก้มลงมองพื้นบ้าง เพดานบ้าง แล้วก็พูดด้วยเสียงห้วนๆ ว่า “ติดฝนล่ะสิ ฉันรู้นะนายต้องรีบไปรับน้องสาวกลับบ้าน? เอาร่มนี่ไปสิ! เดี๋ยวก็ไม่ทันสถานรับเลี้ยงเด็กปิดหรอก… แล้วก็ อย่าคิดว่าเป็นบุญเป็นคุณหรอกนะ… ฉันเห็นแก่น้องสาวนายหรอกนะ! คนอย่างนายน่ะ นิสัยแบบนี้ นอกจากฉันแล้วไม่มีใครอยากช่วยหรอก”
เมื่อพิตะคุงบอกสะวะจังว่า เดินออกจากโรงเรียนใต้ร่มคันเดียวกันก็ได้นะ เด็กสาวก็ทำตาเหลือกลาน หน้าแดงเป็นมะเขือเทศ แล้วก็โวยวายว่า “นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คิดว่าฉันจะทนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกับนายกลางฝนได้เหรอ ถ้าใครมาเห็นเข้าล่ะก็… ล่ะก็… หึ แต่ไปก็ได้!”
แล้วเรื่องก็จบลงที่ทั้งสองคนเดินใต้ร่มคันเดียวกันฝ่าสายฝนที่กำลังโปรยปรายออกจากโรงเรียนไป
อาจกล่าวง่ายๆ ว่า “ซึนเดะเระ” คือการ “ปากไม่ตรงกับใจ” นั่นเอง รูปแบบการแสดงออกนี้ก็ไม่ได้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนญี่ปุ่นหรือคนในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเท่านั้น แต่น่าจะมีคนที่มีลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมอย่างนี้ได้ทั้งโลก เพียงแต่อาจจะไม่เคยมีการนิยามคำเรียกกันชัดๆ เท่านั้นเอง แม้แต่ในคู่รักวัยเกษียณชาวไทยบางคู่ ก็อาจจะมีใครสักคนหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ “ซึนเดะเระ” เช่น สามีสูงวัยที่ชอบบ่นว่าภรรยาว่าไม่เคยทำอะไรได้ดังใจ ทำกับข้าวกับปลาอะไรก็ไม่อร่อย แต่ก็ปรากฏว่าเขาก็กินอาหารที่ภรรยาทำจนหมดเกลี้ยงทุกวัน หรือบ่นว่าภรรยาซื้อของไม่เคยถูกใจ แต่เสื้อทุกตัวที่เขาใส่ก็เป็นเสื้อที่ภรรยาเลือกให้
มีผู้อธิบายว่า การที่ใครคนใดคนหนึ่งมีพฤติกรรม “ซึนเดะเระ” นั้น เกิดจากการที่ผู้นั้นไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองได้ ความขัดแย้งนั้นอาจจะเป็นความเชื่อ ค่านิยม หรือหลักยึดบางอย่าง ที่ตัวเองเคยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง รวมถึงตัวคนนั้นเองก็อาจจะยึดถือคุณค่าเช่นนั้นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวความคิดและพฤติกรรมของตัวเองมาตลอด แต่เมื่อได้พบกับผู้ที่แสดงพฤติกรรมแปลกแยกแตกต่างจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ก็เกิดความสับสนเพราะรู้สึกชอบใจหรือเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับคนเช่นนั้น กระนั้นถ้ายอมรับว่าตัวเอง “ชอบ” หรือรู้สึกดีกับคนที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมนอกรีตนอกรอยเช่นนี้ ก็เท่ากับทรยศต่อคุณค่าเดิมที่ตัวเองเคยยึดถือ หรืออาจจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำผิด
เช่นกรณีของน้องสะวะจัง ที่เชื่อว่าการเป็นนักเรียนที่ดีนั้น คือการไม่สร้างปัญหาในห้องเรียน ไม่ทำตัวให้โดดเด่น เชื่อฟังครูอาจารย์ พยายามมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีตามธรรมเนียมกับผู้อื่น แต่แล้วเมื่อได้เห็นพิตะคุงที่มีพฤติกรรมตรงข้ามทุกอย่าง แต่เธอก็ดันรู้สึกว่า แบบนั้นก็ได้หรอ แล้วทำไมเรารู้สึกว่ายอมรับในตัวเขาได้นะ ทำไมเขาดูเท่จังเลยนะ ความสับสนและต่อสู้กันระหว่างความรู้สึกที่ดีต่อพิตะคุง ทำให้สะวะจังไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จึงออกมาเป็นพฤติกรรม “ซึนเดะเระ” เช่นนั้น
ที่นึกถึงเรื่องของพฤติกรรม “ซึนเดะเระ” ขึ้นมานี้ ก็เพราะว่าวันหนึ่งหลังการเลือกตั้ง ขณะที่เปิดโทรทัศน์ฟังแว่วๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงใครสักคนที่เข้าใจว่าเป็น ส.ว. สักคนที่มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับผู้จัดรายการในทำนองที่ว่า พรรคก้าวไกลเวลาประชุมร่วมรัฐสภาจะเป็นพรรคที่มีปัญหากับวุฒิสภามาตลอดสี่ปี โดยมักจะต่อล้อต่อเถียงกับบรรดา ส.ส.อย่างขาดความเคารพ เช่นเรียก ส.ส.ทั้งหลายว่าเป็นพวกหัวหงอกหัวเฒ่าสมควรกลับไปเลี้ยงหลาน ด่าพวก ส.ส.มาตลอด ตัวคุณพิธาเองมีความเชื่อมั่นในตัวเองและความทระนงในตนสูงเกินไป แบบนี้ไม่มีทางได้เสียง ส.ว.อยู่แล้ว
ฟังแค่ถึงตรงนี้ก็เริ่มอารมณ์คุกรุ่นแล้ว จนกระทั่งท่าน ส.ว.ผู้นั้นสรุปตอนท้ายประมาณว่า “ก็เป็นเสียแบบนี้ จะมาเอาเสียงจากพวกเรา แล้วใครจะมาให้คุณ มีผมคนเดียวนี่แหละที่โหวตให้”
ประโยคสุดท้ายนี้ก็ทำให้ยิ้มและหัวเราะออกมา พลางนึกถึงคำแสลงญี่ปุ่นที่อธิบายไปข้างต้นนั่นแหละ และเมื่อไปฟังที่ ส.ว.อีกหลายท่านให้สัมภาษณ์ ก็พบว่า หลายคนก็เปิดฉากด้วยการว่าพรรคก้าวไกลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมชอบฟังเขาอภิปรายในสภานะ! อย่างนี้ก็มี
ทำให้รู้สึกว่า ในบรรดา ส.ว.ทั้งหลาย ก็น่าจะมีคนที่รักและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย หรือแม้แต่จะศรัทธากับแนวทางของฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งมา หรือแม้แต่เห็นว่าการใช้อำนาจปกครองในรูปแบบเก่ามันไม่ได้แล้ว ไม่ไหวแล้วนั่นแหละ แต่การที่จะให้ยอมรับง่ายๆ มันก็อาจจะขัดกับความคิด ความเชื่อ หรือคุณค่าเดิมที่ตัวเองเคยยึดถือไว้มากเกินไป
เรื่องนี้ถ้าทางคุณพิธา หรือใครสักคนในพรรคก้าวไกลจับจุดได้ แล้วลอง “โน้ม” เข้าหาพวกเขาอีกหน่อย ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีผู้ที่ออกเสียงให้อย่างเหมือนจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยินดีที่จะมีนายกฯคนใหม่เพิ่มขึ้นได้อีกพอสมควรทีเดียว
นอกจาก “ซึนเดะเระ” แล้ว ยังมีอีกแสลงภาษาญี่ปุ่นที่มีคำว่า “เดะเระ” อีกคำหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นที่คุ้นเคยน้อยกว่า คือคำว่า “ยันเดะเระ” (Yandere) ซึ่งมาจากการผสมคำของคำว่า “ยามิ” (Yami) ที่แปลว่า ป่วย กับ “เดะเระ” รวมกันแล้วหมายถึง อาการแสดงออกทางความรักที่มากเกินปกติ หลงใหลคลั่งไคล้จนเข้าขั้นป่วย จนเกิดความคิดอยากผูกขาดอีกฝ่ายและหึงหวงอีกฝ่ายจนเกินเหตุ อาจถึงขั้นใช้ความรุนแรงกับคนที่ชอบ หรือคนที่มาขัดขวางความรักไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร
ถ้า “ซึนเดะเระ” เป็นเรื่องน่ารัก “ยันเดะเระ” หรืออาการหึงโหดก็เป็นเรื่องน่ากลัว ภาพของสาวหรือหนุ่มยันเดะเระในการ์ตูนจะเป็นภาพของคนหน้าตาดำมืด ดวงตาไร้แวว ถือมีด ของมีคมหรืออาวุธเตรียมทำร้ายคนที่เขารัก หรือใครก็ตามที่มาเข้าใกล้หรือสนิทสนมกับคนที่เขาหรือเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ที่นึกถึงเรื่อง “ยันเดะเระ” ขึ้นมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เห็นการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพรรคก้าวไกลของบรรดา “ติ่งส้ม” หรือผู้ที่เลือกพรรคนี้ ซึ่งจริงๆ โดยหลักการก็ไม่ได้ผิดอะไรเท่าไรหรอก แต่พายุอารมณ์ผสมกับโลกโซเชียล ทำให้ผู้คนที่รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพรรคร่วมไปด้วยแสดงตัวและรวมตัวกันออกมาจนผลสั่นสะเทือนได้
เห็นได้จากกรณีที่พรรคก้าวไกลอาจจะไม่ทันระวัง ไปชวนพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งเอาจริงๆ โดยส่วนตัวเชื่อว่าผู้ที่ไปเชิญมา มองว่ากำลังไปเชิญพรรค “ชาติพัฒนา” ด้วยซ้ำ เพราะคำว่า “กล้า” หรือพรรคเก่าของ นายกรณ์ จาติกวณิช นั้นไม่มีบทบาทอะไรแล้ว และ ส.ส. 2 คนของพรรคที่ได้ ก็เป็นคนของพรรคชาติพัฒนาเดิมด้วย
แต่ก็ด้วยความที่นายกรณ์ เป็นที่ดูหมิ่นเกลียดชังมากคนหนึ่งสำหรับผู้คนในฝั่งประชาธิปไตย ภาพเลยออกมาดูไม่จืดอย่างที่เห็นกัน
บทเรียนนี้จึงเป็นเรื่องที่ทางพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุนอาจจะต้องระมัดระวังแกมหนักใจ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องรวบรวมเสียงข้างมากของสองสภาให้ได้ ว่าตัวเลือกที่เหลือน้อยและยากแล้ว ก็อาจจะยากขึ้นได้อีก หากคนที่ไป “คุย” ด้วยนั้น เป็นคนที่ไปกระตุ้นต่อม “ยันเดะเระ” ของผู้สนับสนุนพรรคเข้าให้ บรรดาผู้สนับสนุนก็อาจจะจับมีดจับเสียมหรือกรรไกรขาเดียว มองมาทางพรรคด้วยดวงตาไร้แววแห่งความปรานีก็ได้
สำหรับแสลงญี่ปุ่นคำสุดท้ายของวันนี้ คือคำว่า “คิโม่ย” (Kimoi) ซึ่งกร่อนมาจากคำว่า (Kimochi warui) หมายถึง น่าขยะแขยง น่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียน
คำนี้ขอมอบให้แด่ ส.ว.ทั้งหลาย ที่อ้างว่าเป็นกลาง ขอไม่ก้าวก่ายทางการเมือง และพร้อมจะ “ปิดสวิตช์ตัวเอง” ในการโหวตเลือกนายกฯทุกท่าน ด้วยการ “งดออกเสียง” เลือกตัวนายกรัฐมนตรี โดยที่เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 แล้ว ผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องได้รับเสียงเห็นชอบเกินกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา
ย้ำว่า ต้องเป็นเสียง “เกินกึ่งหนึ่ง” ไม่ใช่ “เสียงข้างมาก”
ดังนั้น การที่ ส.ว.ผู้ใด “งดออกเสียง” จึงนับเป็นเสียง “ไม่เห็นชอบ” ซึ่งเท่ากับจะเป็นเสียงที่รวมกันแล้ว ทำให้ผู้ที่ได้รับเสียงข้างมากจากสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี การงดออกเสียงจึงไม่ได้แสดง “ความเป็นกลาง” หรือการ “ปิดสวิตช์” ใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะการปิดสวิตช์ที่แท้จริง หมายถึง การที่ ส.ว. “ทำตัวเสมือนไม่มีเรื่องอำนาจเลือกนายกฯตามบทเฉพาะกาล” นั้นคือ การที่เสียงของ ส.ว.สอดคล้องตรงกับการออกเสียงของ ส.ส. เพื่อให้หมายถึงว่า การเลือกตัวนายกรัฐมนตรีนั้น มาจากความเห็นชอบของ ส.ส. เป็นหลัก ส.ว. เพียงเข้ามาเติมให้ตามแบบพิธีเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญอันไม่ชอบธรรมเท่านั้น
เช่นนี้ ใครที่รู้ข้อกฎหมายนี้ดีอยู่แล้ว แต่ดันมาทำลอยหน้าลอยตา อ้างความเป็นกลาง อ้างปิดสวิตช์ตัวเอง โดยการ “งดออกเสียง” จึงไม่มีคำไหนสมควรได้รับไปมากกว่าคำว่า “คิโม่ย” ที่หมายถึงความน่าขยะแขยงขั้นสุดนั่นเอง
กล้า สมุทวณิช