คิดเห็นแชร์ : ศึกการลงทุน กระเรียนผงาด คชสารผยอง มังกรสะบัดหาง

ต้นปี 2024 ที่ผ่านมากลายเป็นช่วงที่ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และหนึ่งเทรนด์ที่นักลงทุนสังเกตได้อย่างเด่นชัด คือการขายหุ้นจีน เข้าซื้อหุ้นอินเดีย และญี่ปุ่น 

เรียกว่าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี ที่นักลงทุนลดการลงทุนในหุ้นจีนลง ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ตลาดหุ้นอินเดียมีขนาด Market Capitalization สูงขึ้นจนเท่ากับตลาดฮ่องกง ขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังเห็นหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในที่สุด 

แค่เพียงเดือนเดียว เงินทุนเคลื่อนย้ายทำให้หุ้นญี่ปุ่นบวกไปแล้วกว่า 7% และหุ้นจีนลบ 10% จนนักลงทุนหลายท่านอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า เทรนด์สำคัญนี้จะอยู่กับตลาดไปอีกนานไหม และสายเกินไปที่จะปรับพอร์ตแล้วหรือเปล่า 

ผมจึงนำข้อมูลของทั้งสามตลาดในปัจจุบัน (MSCI Japan, China, และ India) มาเปรียบเทียบ วิเคราะห์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพและสามารถวางกลยุทธ์ตามไปพร้อมกัน

Advertisement

ศึกแรก เปรียบเทียบการเติบโต ทั้งสามตลาดมีจุดแข็งจุดอ่อนที่ต่างกัน

ย้อนกลับไปในอดีต 20 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่ารายได้ของทั้งสามตลาดเติบโตไม่เท่ากัน วัดจากยอดขาย (Forward Sales) อินเดียเป็นตลาดที่เติบโตดีที่สุดเฉลี่ย 9% ต่อปี จีนเป็นอันดับสองที่ราว 5% ขณะที่ญี่ปุ่นเติบโตเฉลี่ยแค่ 1% ต่ำกว่าหุ้นโลก (MSCI ACWI) 

อย่างไรก็ดี ถ้ามองที่รายได้ (Forward EPS) หุ้นญี่ปุ่นจะขยับขึ้นมาเป็นตลาดที่มี Net Profit Margin ดีที่สุด เพราะ EPS เติบโตเฉลี่ย 4% ส่วนจีนและอินเดียจะมีการเติบโตของรายได้ใกล้เคียงกับยอดขาย

Advertisement

สำหรับมุมมองอนาคต แม้ตลาดยังคงมองว่าอินเดียจะมียอดขายเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มราว 10-15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่จีนพลิกกลับมาเป็นตลาดที่นักลงทุนให้มุมมองดีที่สุดด้านรายได้ จากการรวบรวมประมาณการโดย Bloomberg คาดว่าจีนจะมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 5-15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ดีกว่าทั้งญี่ปุ่นและอินเดียที่ตลาดคาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 3-9% 

สรุปประเด็นด้านเติบโตจากอดีตปัจจุบันและอนาคต อินเดียชนะด้านยอดขาย ญี่ปุ่นชนะด้านการทำกำไร ส่วนจีนมีมุมมองการเติบโตต่อจากนี้สูงที่สุด

ศึกที่สอง คือระดับมูลค่าหรือ Valuation ทั้งสามตลาดมีโครงสร้างของความถูกแพงที่แตกต่างเช่นกัน

เริ่มจากถูกที่สุด ต้องยกให้ หุ้นจีน ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ forward P/E เพียงราว 10x ถูกกว่าทั้งค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 12x และถูกกว่าหุ้นโลกตอนนี้ที่ 15x แต่ความถูกของหุ้นจีน มีสาเหตุจากโครงสร้างที่ประกอบด้วยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถึง 30% ตามด้วยกลุ่มสื่อสารและการเงินอีก 33% ที่สัมพันธ์กับเศรษฐกิจในประเทศสูง ถ้าการบริโภคไม่ฟื้นตัว โอกาสที่จะถูกแล้วถูกอีกก็มี

ฝั่ง หุ้นญี่ปุ่น ปัจจุบันถือว่าไม่ถูก เพราะซื้อกันในระดับ 15x เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีตและใกล้เคียงกับหุ้นทั่วโลก จุดเด่นคือประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเติบโตสูงรวมกันกว่า 35% ตามด้วยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 15% และการเงิน 12% ที่ปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ระดับ Developed Markets (DM) แม้ราคาแพงแต่มีคุณภาพพอที่จะสามารถแพงขึ้นได้อีก

หุ้นอินเดีย คือตลาดที่ซื้อขายในระดับแพงกว่าที่อื่นมาโดยตลอด ปัจจุบันถือว่ายิ่งแพงมาก เพราะซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 26x แพงกว่าทุกที่และแพงกว่าค่าเฉลี่ย P/E ในอดีตของตัวเองที่ 19x ถึงกว่า 37% ยิ่งถ้ามององค์ประกอบของตลาด ที่อุดมไปด้วยกลุ่มการเงินและพลังงานกว่า 34% Valuation ไม่ควรแพง แต่กลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีสัดส่วนราว 23% คือกลุ่มดึงตลาด แบกรับความหวังด้านการเติบโตของอินเดียเอาไว้

โดยสรุป ผมมองว่าจีนมีส่วนลดบน Valuation มากที่สุด ญี่ปุ่นมีจุดเด่นที่ซื้อขายในระดับราคา DM ได้ ส่วนระดับราคาของอินเดียนั้นสูงอยู่แล้ว ต้องลุ้นให้รายได้เติบโตแบบนี้ได้ตลอด

ศึกที่สาม เปรียบเทียบความสัมพันธ์กับตลาดการเงิน ทั้งสามตลาดจะถูกตีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนอีกครั้ง

หุ้นญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์หลักกับทิศทางของนโยบายทางการเงินโลกมากที่สุดเมื่อ วัดจากความเคลื่อนไหวไปพร้อมกับบอนด์ยีลด์สหรัฐ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดฝั่งเอเชียที่ปรับตัวขึ้นได้พร้อมกับบอนด์ยีลด์ เพราะเงินเยนมักอ่อนค่าช่วยประคอง ขณะที่เมื่อยีลด์ลง ถ้าเงินเยนไม่แข็งค่ามาก หุ้นก็สามารถเข้าโหมด Risk-on ตามตลาดอื่นได้

ส่วน หุ้นอินเดีย เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นโลก และหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐมากที่สุด ความสัมพันธ์นี้เด่นชัดมากขึ้น ในช่วงหลังจากสหรัฐและจีนมีความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี (Tech War) จนทำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ในสหรัฐ เลือกย้ายฐานการผลิตและการบริการมาที่อินเดีย 

หุ้นจีน เป็นตลาดเดียวที่คงความเป็นผู้นำเศรษฐกิจเอเชียดั้งเดิม การเคลื่อนไหวจะไปในทิศทางเดียวกับภาพเศรษฐกิจโลก ทิศทางราคาทองแดง ราคาทองคำ และสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมากที่สุดในทั้งสามตลาด

ไม่น่าแปลกใจที่ช่วงนี้ การปรับตัวขึ้นของดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ และหุ้นเทคโนโลยีที่ดูจะเป็นบวกกับหุ้นญี่ปุ่นและหุ้นอินเดีย แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โอกาสของหุ้นจีนก็จะกลับมาบ้าง

ศึกสุดท้าย คือนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง ตลาดกำลังมองว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญของหุ้นจีน

เพราะแม้ทางการจีนจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุดในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าช่วยภาคอสังหาฯ เพิ่มงบประมาณด้านการคลัง ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย หรือล่าสุดมีการตั้งกองทุนพยุงตลาดหุ้น

แต่นโยบายเหล่านี้ กลับถูกตลาดตีความว่าเป็นนโยบายเชิงตั้งรับ เพราะจีนใช้เฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา ส่วนสิ่งที่นักลงทุนอยากเห็นกลับเป็นนโยบายระหว่างประเทศ เช่นการกลับไปประนีประนอมกับสหรัฐ แต่อาจเกิดขึ้นได้ยากในปีที่สหรัฐมีเลือกตั้งใหญ่รออยู่ 

ด้านญี่ปุ่นและอินเดีย ไม่ได้มีนโยบายกระตุ้นทางการคลัง หรือนโยบายการเงินชุดใหญ่แบบจีน และอินเดียจะมีการเลือกตั้งทั่วไปกลางปีที่อาจสร้างความผันผวน แต่ตลาดกลับเลือกมองว่าทั้งคู่ไม่มีจุดอ่อนด้าน Geo-economics แบบจีน กลับกันคือได้ความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสหรัฐและเงินทุนที่เคลื่อนย้ายจากจีนเข้ามาแทนที่

ถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่านักลงทุนทุกท่านน่าจะเข้าใจเทรนด์ขายหุ้นจีน ซื้อหุ้นอินเดียและญี่ปุ่นชัดเจนมากขึ้น เชิงกลยุทธ์สามารถสรุปเป็นแนวทางปรับพอร์ตทั้งระยะสั้นและระยะยาวตามเหตุผลของแต่ละตลาดได้

ในช่วง 3-12 เดือน ญี่ปุ่นและอินเดียได้เปรียบจากแนวโน้มการเมือง

นักลงทุนอาจเลือกจังหวะ และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในญี่ปุ่นและอินเดียก่อน และสำหรับจีน ควรจับจังหวะเก็งกำไรในช่วงสั้นเมื่อตลาดปรับฐาน เพราะปีนี้ จีนต้องมีนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจแน่ๆ นอกจากนั้น รายได้ก็คาดว่าจะฟื้นตัวจากปีก่อนดีที่สุด

ส่วนในระยะยาว สิ่งสำคัญของการลงทุนคือกำไรและ Valuation 

เพราะไม่ว่าการเมืองจะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ทำรายได้หรือจ่ายแพงเกินไป ก็ไม่ใช่การลงทุนที่ดีสำหรับอนาคต

ถ้าจะลงทุนถือ 5-10 ปี ผมเชื่อว่าหุ้นจีนและหุ้นญี่ปุ่น มีความได้เปรียบมากกว่าเพราะซื้อขายในระดับราคาที่ไม่ได้แพงผิดปกติ รายได้เติบโตไม่จำเป็นต้องหวือหวาแต่สม่ำเสมอ ส่วนอินเดียผมมองว่าถ้าอยากถือระยะยาว ควรลงทุนในช่วงเศรษฐกิจไม่ร้อนแรง หรือจังหวะที่ราคาไม่แพงจนเกินไป

แค่เดือนแรกของปีก็ตื่นเต้นขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเทรนด์ตลาดการเงินและการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ จะมีให้เห็นอีกมาก ปี 2024 จะเป็นปีที่ลงทุนสนุกอย่างแน่นอนครับ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์

หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image