เฉลียงไอเดีย : ภารกิจ‘สำนักงานสลากฯ’ ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต‘ลอตเตอรี่’ขาย

ภารกิจ‘สำนักงานสลากฯ’
ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต‘ลอตเตอรี่’ขาย

ย้อนรอยกลับไปในปี 2565 ปัญหาใหญ่ที่นักเสี่ยงโชคร้องโอดโอย คือ “หวยแพง” หรือคือสลาก
กินแบ่งรัฐบาลที่ขายราคาสูง เกินราคาที่กำหนดจากใบละ 80 บาท ทะยานขึ้นเป็นใบละ 100 สูงสุดถึง 200 บาทเลยทีเดียว ในกลุ่มสลากเลขสวย เลขดัง สลากชุด

นอกจากนี้ยังมีปัญหาความปั่นป่วนในตลาด ทั้งการขายส่งสลากกัน รวมไปถึงการนำสลากไปสแกน และหลอกขาย ไม่จ่ายรางวัล จนกลายเป็นคดีดังหลายกรณี

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หน่วยงานที่ดูแลการผลิตและจำหน่ายสลากจึงได้เดินหน้าขับเคลื่อนการแก้ปัญหาหวยแพง และรัฐบาลในตอนนั้น นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี มองเห็นความสำคัญ จึงมีการตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาสลากกินแบ่งราคาแพงขึ้นมา และนำสู่การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดก่อนได้เห็นชอบการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ก่อนที่จะประกาศยุบสภา

Advertisement

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของสำนักงานสลากฯ ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล 6 หลัก หรือ สลากแอล6 (Lottery L6) หรือสลากกินแบ่งที่คอหวยคุ้นเคย แต่แบ่งเป็นแบบใบ มี 80 ล้านใบต่องวด และยกระระดับเป็นสลากดิจิทัล จำหน่ายผ่านแอพพลิเคชั่น เป๋าตัง ที่ในงวดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 มี 22 ล้านใบต่องวด และในงวดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 จะเพิ่มอีก 1 ล้านใบ กลายเป็น 23 ล้านใบต่องวด นอกจากนั้น ยังมีแผนในการเพิ่มสลากดิจิทัลระหว่างงวดไม่เกิน 1 ล้านใบ ในกรณีที่ขายหมดเร็วด้วย ซึ่งจะเริ่มราวเดือนมีนาคมนี้

ขณะที่อีกผลิตภัณฑ์ที่ ครม.ได้เห็นชอบ คือ สลาก 3 หลัก (Neumber 3) หรือสลากเอ็น3 ที่จะนำมาช่วยแก้ปัญหาหวยใต้ดิน โดยวิธีการเล่นที่ใกล้เคียงกันนั้น คาดว่าจะมีการทำแซนด์บ็อกซ์ ภายในปี 2567 นี้ เพื่อทดสอบตลาด และผลกระทบต่อสลากแอล6 ซึ่งเสียงตอบรับจากผู้ค้าสลากใบก็มีทั้งสนับสนุน และไม่สนับสนุน

Advertisement

ล่าสุด ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล “พ.ท.หนุน ศันสนาคม” ระบุถึงความคืบหน้าการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเลข 3 หลัก (Number 3) หรือสลากเอ็น3 ว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือบอร์ดสลาก ได้เห็นชอบให้ทำแซนด์บ็อกซ์สลากเอ็น3 ภายในปี 2567 นี้ ดังนั้น สำนักงานสลากฯกำลังประสานงานอยู่ว่าแซนด์บ็อกซ์จะเริ่มอย่างไร เมื่อไหร่ ซึ่งไม่เกินในปี 2567 นี้แน่นอน และเมื่อได้เริ่มทดสอบการขายแล้ว เพื่อกรองข้อมูลให้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือบอร์ดสลาก ตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเดินหน้าสลากเอ็น3 เต็มรูปแบบอย่างไร

“โดยจะทดลองขายงวดละ 1 ล้านสิทธิต่องวด ที่ซื้อจริง ขายจริง แจกรางวัลจริง โดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด ทดสอบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอยู่ในจุดบอร์ดมองว่ามีความพร้อม” ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้ข้อมูล

เบื้องต้น สลากเอ็น3 จะขายในราคา 20-50 บาท ใกล้เคียงกับราคาหวยใต้ดินในตลาด และซื้อสลาก 1 เลข มีโอกาสลุ้นได้ถึง 4 รางวัล ส่วนการออกรางวัลนั้น จะเป็นการอ้างอิงจากรางวัลสลาก 6 หลัก (Lottery 6) สลากแอล6 ที่ออกทุกวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน สำหรับรางวัล 3 ตัวตรง หรือเต็ง และรางวัล 3 ตัวสลับ หรือโต๊ด จากใช้เลขสามตัวท้ายของรางวัลที่ 1 และรางวัล 2 ตัวท้าย คือเลขเดียวกับ รางวัล 2 ตัวท้ายของ สลาก L6 และรางวัลพิเศษ หรือแจ๊กพ็อต คือสุ่มจากผู้ที่ถูกรางวัล 3 ตัวตรง โดยแจ๊กพ็อตจะสามารถเก็บทบไปได้หนึ่งงวดด้วย หากไม่มีผู้ถูกรางวัล

“การตัดสินใจขอทำแซนด์บ็อกซ์สลากเอ็น3 นั้น เพราะสำนักงานสลากฯห่วงใยระบบ โดยเฉพาะคนขาย ผู้ค้า มีความเชื่อว่า ตลาดสลากแอล6 กับสลากเอ็น3 ไม่ได้เป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงขอลองทำแซนด์บ็อกซ์ดู เพื่อให้เห็นว่าตัวอย่างจากการทดสอบมีผลอย่างไร คนซื้อเองก็ได้ทดลอง ทำให้คนรู้จักกับสลากเอ็น3 ว่าเป็นคนละผลิตภัณฑ์กับสลากแอล6 แต่มันจะมาแทนที่หวยใต้ดิน ดังนั้น ถ้าทั้งสองตลาดอยู่ได้แล้ว จะเป็นการเริ่มต้นเพื่อไปสู่การออกผลิตภัณฑ์จริง” ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลระบุ

โดยการออกผลิตภัณฑ์สลากเอ็น3 เป็นไปตามทฤษฎีกลไกตลาด คือ ถ้าในตลาดมีสินค้าประเภทเดียว จะทำให้เกิดการผูกขาดทางการตลาด หรือการบังคับซื้อ ดังนั้นถ้ามีผลิตภัณฑ์อื่นที่เข้าในกลไกตลาด ถ้าเป็นทางเลือกที่ดีจะทำให้ผลิตภัณฑ์เดิมเกิดการปรับตัว เป็นกลไกตลาดที่เข้าใจได้ง่าย เพราะฉะนั้น ถ้ามีผลิตภัณฑ์ที่ 2 และผลิตภัณฑ์ที่ 3 ตามมา การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาจะได้รับการแก้ไข

อย่างไรก็ดี สำหรับการจำหน่ายสลากเอ็น3 นั้น สำนักงานสลากฯได้ร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อส่งเสริมการออม โดยผู้ซื้อที่เป็นสมาชิก กอช. เมื่อซื้อสลากแต่ละครั้ง จะหักเงิน 1 บาท เพื่อสมทบเข้ากองทุนให้ด้วย แต่หากผู้ซื้อที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กอช. เช่น ข้าราชการ หรือแรงงาน ตามประกันสังคมมาตรา 33 จะมีหักเงินเข้าระบบประกันภัยให้ เป็นต้น เพื่อเป็นการจูงใจให้คนไทยหันมาเล่นสลากที่ถูกกฎหมาย พร้อมกับเป็นการสนับสนุนการออมเงินไปในตัว

ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังกล่าวอีกว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล (บอร์ดสลาก) มีมติให้สำนักงานสลากฯศึกษาผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มอีก เพื่อแก้ปัญหาพนันออนไลน์ หวยต่างประเทศ ที่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คนรุ่นใหม่หันไปติดการพนันมากขึ้นในทุกวัน

ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักงานสลากกินแบ่ง ได้รวบรวมรูปแบบสลากหรือหวยทั่วโลก ได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.สลากดั้งเดิม อาทิ สลากกินแบ่งรัฐบาลแบบใบ ที่พิมพ์เลขไว้แล้ว ซึ่งรางวัลจะคงที่ เพราะถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน 2.สลากตัวเลข (สลาก digi) คือการเลือกตัวเลข อาทิ สลากเอ็น3 ซึ่งมีรางวัลแปรผันตามจำนวนผู้ซื้อ

ส่วน 3.ลอตโต้ (Lotto) ปัจจุบันขยายไปทั่วหลายประเทศ จะออกแบบให้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ อาทิ จอร์เจีย ใช้ลอตโต้ 5/35 คือจะให้ผู้เลือกเลข 1-35 ในสลาก และการจะถูกรางวัลจะมาจากการสุ่มจับลูกบอลตัวเลขมา 5 บอล จากลูกบอลหมายเลข 1-35 และรางวัลแบบแปรผัน และมีการสะสมเงินรางวัลด้วย กรณีไม่มีการถูกรางวัลจะสะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งลอตโต้ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สำนักงานสลากฯทำการศึกษาไว้ ว่าอนาคตอยากให้มีผลิตภัณฑ์นี้ในไทย เพื่อให้มีความเท่าทันโลก ลอตโต้ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั่วโลกนิยมกัน

ขณะที่ 4.สลากแบบออกรางวัลล่วงหน้า อาทิ สลากขูด การเล่นแต่ละครั้งตัวสลากเองจะถูกปกปิดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ไว้ ผู้เล่นจะต้องใช้การขูด หรือหาผลรางวัล และ 5.สลากกีฬา มีลักษณะเหมือนกับการทายผลการแข่งขันกีฬา โดยมีกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มผู้นิยมซื้อกันมากในบรรดาประเทศแถบยุโรปและอเมริกาใต้

ดังนั้น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ถือเป็นก้าวที่สำคัญของสำนักงานสลากฯที่ออกมาจากกรอบเดิมๆ และได้เดินตามกระแสนิยมใหม่ๆ ส่วนผลในอนาคต ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าการแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะช่วยให้ปัญหาคลี่คลายลงหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ดี สำนักงานสลากฯเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง ที่มีการนำส่งรายได้และเงินปันผลแผ่นดินสูงสุด ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งมาต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยปีในปี 2562 นำส่งรายได้ ที่ 4.19 หมื่นล้านบาท ปี 2563 นำส่งรายได้ ที่ 4.65 หมื่นล้านบาท ปี 2564 นำส่งรายได้ที่ 5.11 หมื่นล้านบาท ปี 2565 นำส่งรายได้ ที่ 5.37 หมื่นล้านบาท และปี 2566 นำส่งรายได้ที่ 4.85 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้รายได้ปี 2566 ลดลงจากปี 2565 เนื่องจากมีการแบ่งรายได้ตามโครงการสลากการกุศล ขณะที่ปี 2565 ไม่มีโครงการ

สำหรับโครงการสลากการกุศล เป็นอีกโครงการที่สำนักงานสลากฯได้ขานรับนโยบายของรัฐบาล วัตถุประสงค์การใช้เงินดังกล่าวได้แก่ เพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม ซึ่งสลากการกุศลจะมีการพิมพ์ที่ใบสลากระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นสลากการกุศล ในระหว่างที่มีโครงการ จะมีงวดละ 11 ล้านใบ โดยปี 2566 มีสลากการกุศลทั้งสิ้น 264 ล้านฉบับ เงินทั้งหมดจะนำส่งจัดสรรตามโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด ส่วนผู้ซื้อ ถ้าขอรับเงินรางวัล ต้องชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในอัตรา 1% ของเงินรางวัล

ปัจจุบัน โครงการสลากการกุศลอยู่ระหว่างดำเนินการ ในช่วงปี 2565-2567 วงเงินรวม 1 หมื่นล้านบาท วงเงินดังกล่าวขอใช้เต็มวงเงินแล้ว มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท เช่น โครงการปรับปรุงอาคารผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ การจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ อาคารรักษาพยาบาลและฟื้นฟูข้าราชการตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ การจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ อาคารรักษาพยาบาลและฟื้นฟูข้าราชการตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นต้น

อีกด้านหนึ่งของสำนักงานสลากฯที่หลายคนอาจไม่เคยทราบ คือเรื่องของโครงการเพื่อสังคม ตามแนวทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance : ESG) ซึ่งสำนักงานสลากฯดำเนินการมาตลอด ไม่ว่าโครงการพื้นฐาน การบริจาคให้กับ อาทิ โรงพยาบาล และโรงเรียนที่ด้อยโอกาสหลายแห่ง การให้ทุนสนับสนุนทางการศึกษา โดยปีงบประมาณ 2566 ได้มอบทุนให้กับนักศึกษาจำนวน 119 คน

ตลอดจนโครงการสลากสรรค์สร้างเพื่อชุมชน ปีที่ 5 ร่วมกับ 10 ชุมชน ได้แก่ 1.ชุมชนบ้านโอ่งอ่างเกาะเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 2.วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเพื่อสังคมเชียงแสน ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 3.ชุมชนบ้านมุงเหนือ ตำบลบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก 4.ชุมชนห้วยไร่ ตำบลห้วยไร่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ 5.ชุมชนบ้านโพธิ์ตาก ตำบลโพธิ์ตาก อำเภอโพธิ์ตาก จังหวัดหนองคาย

6.วิสาหกิจชุมชนเกษตรไม้ผลตำบลภูเงิน ตำบลภูเงิน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 7.วิสาหกิจชุมชนไทดำบ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 8.ชุมชนบ้านแหลมมะขาม ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด 9.ชุมชนพ่อตาหินช้าง ตำบลสลุย อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร 10.ชุมชนท่องเที่ยวบ้านเขาชัยสน ตำบลเขาชัยสน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

ยิ่งไปกว่านั้น คือการดูแลผู้ค้าสลากที่อยู่ในระบบของสำนักงานสลากฯที่ถือเป็นพาร์ตเนอร์คนสำคัญ โดยเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2567 พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยผู้บริหาร นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมและรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการเกษตรผสมผสาน ที่น้อมนำศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการทำงานและการใช้ชีวิต โดยมีนายปรีชา การมงคล ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อ.วังสะพุง จ.เลย ให้การต้อนรับ

สำหรับศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรแห่งนี้ เริ่มต้นจากการที่ นายปรีชา ซึ่งเดิมประกอบอาชีพเร่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ช่วงปี 2559-2560 และเป็นอดีตประธานผู้ค้าสลากรายย่อยจังหวัดเลยแต่ต่อมาตัดสินใจผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีการปลูกพืชสวนครัวและพืชเศรษฐกิจหลากหลายชนิด ประกอบด้วย กล้วยหอมทอง แตงร้าน บวบเหลี่ยม บวบหอม บวบลาย มันเทศญี่ปุ่น เสาวรส หน่อไม้ผรั่ง ถั่วฝักยาว น้ำเต้า มะเขือ พริก มะเขือเทศ ข้าวโพด ขนุน ยางพารา และยังทำปศุสัตว์ เลี้ยงเป็ดไข่ เป็ดเทศ ไก่พื้นเมือง พร้อมกับทำโรงปุ๋ยหมักเอง ทำให้มีรายได้เกิดขึ้นทุกวันจากการขายสินค้าการเกษตร สามารถปลดหนี้สิน ครอบครัวอบอุ่นและมีความสุข

“การขายสลากมีค่าใช้จ่ายสูง เมื่อต้องออกไปเร่ขายลอตเตอรี่ จึงมาคิดทบทวนมองตัวเอง ตัดสินใจผันตัวเองหันมาทำอาชีพเกษตร ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีรายได้แบบพออยู่พอกินได้ ซึ่งการขายผลผลิตเกษตรนั้น มีรายได้เกิดขึ้นทุกวัน รายได้สัปดาห์ ต่อเนื่องเป็นปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายมีน้อยมาก ปัจจุบัน มีเพื่อนบ้านที่ประกอบอาชีพขายสลาก มารับคำปรึกษาและเรียนรู้แนวทาง
ดังกล่าว จนทำให้เปลี่ยนไปประกอบอาชีพเกษตรกรอย่างมีความสุขแล้วหลายราย” นายปรีชากล่าว

ปัจจุบัน ศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพสินค้าการเกษตรแห่งนี้ มีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเลยและจังหวัดใกล้เคียง เดินทางมาเรียนรู้และศึกษาดูงาน ถ่ายทอดความรู้การทำเกษตรพอเพียงไปในวงกว้าง ทั้งนี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้สนับสนุนเงินบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ในการดำเนินงานของศูนย์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับการสนับสนุนของสำนักงานสลากฯ ได้แก่ปี 2562 ช่วงแรกของการก่อตั้ง ได้สนับสนุนการปรับปรุงโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ เป็ดไข่ แผงโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์อื่นๆ เป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท ปี 2564 สนับสนุนการปรับปรุงโรงเรือนเพาะปลูกพืชและการพัฒนาแปลงเรียนรู้ การให้น้ำโดยพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบพลังงานทดแทน และอุปกรณ์อื่นๆ เป็นจำนวนเงิน 2.99 แสนบาท และปี 2565 สนับสนุนการปรับปรุงอาคารเพื่อรองรับการบรรยายและรองรับการศึกษาดูงาน เป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท รวมวงเงินสนับสนุนทั้งหมด 8.99 แสนบาท

ถือเป็นการทำความรู้จักกับการทำงานอีกด้านที่หลายคนไม่เคยทราบ และได้เห็นว่าสำนักงานสลากฯให้ความสำคัญกับผู้ค้า และสังคมอย่างแท้จริง

ณัฐชนัน ฐิติพันธ์รังสฤต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image