การ์ทเนอร์เผย 6 แนวโน้ม ความมั่นคงไซเบอร์ปี’67

การ์ทเนอร์เผย 6 แนวโน้ม ความมั่นคงไซเบอร์ปี’67

การ์ทเนอร์เผย Generative AI, พฤติกรรมพนักงานที่ไม่ปลอดภัย, ความเสี่ยงจากบุคคลที่สาม, ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ช่องว่างการสื่อสารในทีมบริหาร และแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ยึดการยืนยันตัวตนเป็นหลัก ล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังและคอยขับเคลื่อนแนวโน้มความมั่นคงไซเบอร์ที่สำคัญๆ ในปีนี้

นายริชาร์ด แอดดิสคอตต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “GenAI กำลังสร้างความกังวลใจให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยในฐานะที่เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องจัดการ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ได้มอบโอกาสการควบคุมขีดความสามารถเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระดับปฏิบัติการ แม้ Gen AI จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าผู้บริหารยังต้องต่อสู้กับปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมที่ไม่อาจมองข้ามในปีนี้”

ปีนี้เราจะเห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัยตอบสนองต่อผลกระทบเหล่านี้ โดยนำแนวทางปฏิบัติ ความสามารถเชิงเทคนิค และการปฏิรูปโครงสร้างมาใช้ภายในโปรแกรมความปลอดภัยของตน โดยมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นขององค์กรและเพิ่มประสิทธิภาพฟังก์ชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์

Advertisement

6 เทรนด์ต่อไปนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายด้าน :

เทรนด์ที่ 1: Generative AI – ระยะสั้นยังกังขา แต่ระยะยาวคือความหวัง

ผู้บริหารจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของ GenAI เนื่องจากแอพพลิเคชั่นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT และ Gemini นั้นยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการดิสรัปต์เท่านั้น ขณะเดียวกันผู้บริหารต่างมีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดช่องว่างด้านทักษะ และมอบประโยชน์ใหม่อื่นๆ สำหรับความมั่นคงทางไซเบอร์ การ์ทเนอร์แนะนำว่าการใช้ GenAI นั้นควรเกิดขึ้นผ่านความร่วมมือเชิงรุกกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการใช้ Disruptive Technology นี้อย่างมีจริยธรรมและตั้งอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย

Advertisement

เทรนด์ 2: มาตรวัดที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ความมั่นคงไซเบอร์: เชื่อมช่องว่างการสื่อสารในทีมบริหาร

ความถี่และผลกระทบเชิงลบของเหตุความมั่นคงทางไซเบอร์ที่กระทบต่อองค์กรยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของกลยุทธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์ของคณะกรรมการและทีมบริหาร โดยมาตรวัดที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ หรือ Outcome-Driven Metrics (ODMs) ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถขีดเส้นแบ่งการลงทุนด้านความมั่นคงไซเบอร์และมอบระดับการป้องกันที่ถูกสร้างขึ้น

เทรนด์ที่ 3: โปรแกรมวิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมความปลอดภัยกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากมนุษย์

ผู้บริหารด้านความปลอดภัยตระหนักดีว่าการเปลี่ยนโฟกัสจากการเพิ่มความตระหนักรู้ไปสู่การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในปี 2570 ครึ่งนึง (50%) ของ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่จะนำแนวทางการออกแบบการรักษาความปลอดภัยที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลักมาใช้เพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดจากความมั่นคงไซเบอร์ และเพิ่มการควบคุมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยโปรแกรมวิเคราะห์พฤติกรรมและวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย หรือ Security Behavior and Culture Programs (SBCPs) สามารถใช้วิเคราะห์และสรุปแนวทางทั่วทั้งองค์กรเพื่อลดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมพนักงาน

เทรนด์ที่ 4: การจัดการความเสี่ยงของบุคคลที่สามที่ขับเคลื่อนด้วยความยืดหยุ่นและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุการณ์ความมั่นคงไซเบอร์จากบุคคลที่สามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเลิกใช้แนวปฏิบัติสำหรับการตรวจสอบโดยละเอียดในด้านการลงทุน หรือ Front-Loaded Due Diligence การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารปรับปรุงการบริหารความเสี่ยงในบริการของบุคคลที่สาม และสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับพันธมิตรภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง

เทรนด์ที่ 5: ใช้โปรแกรมจัดการความเสี่ยงจากภัยคุกคามต่อเนื่อง

Continuous Threat Exposure Management (CTEM) เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างมีระบบที่องค์กรธุรกิจสามารถใช้ประเมินการเข้าถึง เปิดเผย และใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง การจัดขอบเขตการประเมินและการแก้ไขให้สอดคล้องกับภัยคุกคามหรือโครงการทางธุรกิจในแบบเฉพาะ แทนที่จะเป็นองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเน้นย้ำถึงช่องโหว่และภัยคุกคามที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ภายในปี 2569 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความปลอดภัยตามพื้นฐานของโปรแกรม CTEM จะพบการละเมิดลดลงถึงสองในสาม โดยผู้บริหารจะต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมดิจิทัลแบบไฮบริดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถระบุตัวตนได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด ช่วยรักษาพื้นผิวการโจมตีให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เทรนด์ที่ 6: การขยายบทบาทการจัดการการเข้าถึงและระบุตัวตน (Identity & Access Management หรือ IAM) เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ความมั่นคงทางไซเบอร์

เมื่อองค์กรหันมาใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลระบุตัวตนเป็นหลักมากขึ้น การมุ่งเน้นจะเปลี่ยนจากการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและการควบคุมแบบดั้งเดิมอื่นๆ ไปสู่ Identity & Access Management (IAM) ทำให้มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางไซเบอร์และผลลัพธ์ทางธุรกิจ ขณะที่การ์ทเนอร์เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นสำหรับ IAM ในโปรแกรมความปลอดภัย แนวทางปฏิบัติจะต้องพัฒนาเพื่อมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่น

ทั้งนี้ การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างของข้อมูลระบุตัวตน และใช้ประโยชน์ของการตรวจจับภัยคุกคามรวมถึงการตอบสนอง เพื่อให้แน่ใจว่าความสามารถของ IAM อยู่ในจุดที่ดีที่สุด เพื่อรับมือกับขอบเขตการป้องกันของโปรแกรมความปลอดภัยโดยรวม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image