คำต่อคำ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ‘เมื่อโลกหักมุม เราต้องเลี้ยวให้ถูก’

ทะยานขึ้นท็อป 3 ต่อเนื่องทุกวันไม่มีเว้นสำหรับ ‘Twists and Turns คิดเปลี่ยนในโลกหักมุมผลงาน ดร.สันติธาร เสถียรไทย

คิวแน่น คิวยาว ไม่สะดุด แฟนหนังสือขอเข้าพบปะพูดคุยยังบูธสำนักพิมพ์มติชน’ J47 

หารือเรื่องราวชีวิต ร่วมขบคิดต่อจากหน้ากระดาษ

6 เมษายนที่ผ่านมา ดร.สันติธาร หรือต้นสนขึ้นเวทีกลาง งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์หรือนิ้วกลมจับไมค์ดำเนินรายการ 

Advertisement

Tonson’s Talk : คิดเปลี่ยนในโลกหักมุม คือชื่อกิจกรรมและหัวข้อที่ได้รับความสนใจล้นหลาม ในช่วงเวลาที่ผู้คนพยายามทำความเข้าใจกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการสร้างโอกาสใหม่ในโลกที่ไม่เหมือนเดิม 

ต่อจากนี้คือถ้อยคำจากปาก ดร.สันติธาร บนพื้นที่แห่งการเปิดใจในหลากประเด็นที่เจ้าตัวเอ่ยไว้แล้วล่วงหน้าว่าบางเรื่อง ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน 

เมื่อโลกวันนี้คือหนังฆาตกรรมซ่อนเงื่อน 

Advertisement

เจอพล็อตหักมุม ชีวิตต้องเลี้ยวให้ถูก 

หนังสือชื่อ Twists and Turns เนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ครึ่งแรกจะเป็นเรื่องของ Twists เป็นเรื่องของพล็อต ถ้าโลกเป็นหนังเรื่องหนึ่งก็จะมีการหักเหลี่ยมหักมุมตลอดเวลา เล่มก่อนก็เขียนไว้แล้วว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น แต่ตอนนี้มันเหมือน หนังฆาตกรรมซ่อนเงื่อน ที่อาจจะมองว่าคนนี้เป็นพระเอก แต่ที่จริงแล้วเป็นตัวร้าย หรือคนที่เป็นผู้ร้ายกลับดี มันหักพล็อตตลอดเวลา

ครึ่งหลังมันสำคัญ เพราะว่าเวลามันมีการหักมุม มันจะมีโอกาสเกิดขึ้น มันก็เริ่มสะท้อนกลับมาที่ชีวิตของตัวเองว่า ใช้โอกาสกับการหักมุมของโลกมาแล้วหลายครั้งที่เราต้องเลี้ยวให้ถูกที่ อย่างจังหวะสำคัญที่กำลังจะกลับมาเมืองไทย จากที่เราทำงานอยู่ต่างประเทศมาทั้งหมด 18 ปี 5 ปีที่อเมริกา 13 ปีที่สิงคโปร์ เรียกได้ว่าอยู่มาหลายที่ทั่วโลก

เรารู้สึกว่า เอ๊ะ! การกลับเมืองไทยครั้งนี้ ก็อยากให้มีสิ่งที่เรียกว่า Home Coming ต้องมีหนังสือเล่มหนึ่งที่จะบันทึกการเดินทางและข้อคิดต่างๆ ที่ได้ ก็เลยเป็นที่มาของเล่มนี้

เริ่มจากครึ่งหลัง

เรื่องที่ไม่เคยเขียน ไม่เคยโพสต์ 

หนังสือมีเนื้อหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ครึ่งแรก คือ สิ่งที่อยากให้คนเข้าใจโลก และครึ่งหลัง คือ สิ่งที่อยากให้เข้าใจในตัวเอง ผมคิดว่าหลายคนอ่านแล้ว มันก็จะเห็นภาพสะท้อนอยู่ไม่มากก็น้อย มันจะสะท้อนหลายอย่างว่า เออ เราก็เป็นแบบนี้เนอะ มันเหมือนรู้ใจเราเลย ผมคิดว่าถ้าได้สัมผัสถึง 2 สิ่งนี้ที่พูดไป ก็จะเป็นอะไรที่ดีใจมาก 

ความจริงแล้วผมเริ่มเขียนจากครึ่งหลังก่อน เพราะว่ามันเขียนยาก มันเป็นการเขียนถึงข้อคิดที่ผ่านมา การตัดสินใจเป็นอย่างไร ทำอย่างไรให้บาลานซ์ความสุข ความสำเร็จกับเรื่องงาน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเขียน ไม่เคยโพสต์ และไม่เคยเขียนบทความด้วย

ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจ เขียนแก้ไปแก้มาหลายรอบด้วย แต่ถ้าไม่เขียนครึ่งนี้ หนังสือเล่มนี้ก็จะไม่เกิด พอต้องเขียนครึ่งนี้ออกมาก่อนแล้วค่อยไปเขียนครึ่งแรก ฉะนั้นก็เลยเป็นการเขียน Turns ก่อน Twists

4 จุดหักเลี้ยวสำคัญ

เลี้ยวสุดท้ายอาศัยความบ้าบิ่น

คอนเซ็ปต์หนังสือมันมีอยู่ว่า ชีวิตเราต้องเจอทางแยกอยู่หลายอัน ซึ่งแม้เราไม่ใช่รถที่แรงที่สุด แรงม้าแรงที่สุด ซึ่งโลกไม่ได้วัดว่าใครที่ไปได้เร็วกว่ากันโลกไม่ได้วัดว่าใครไปได้เร็วเหมือนกัน แม้ว่าเราจะตามหลังคนอื่นอยู่เยอะมาก แต่สุดท้ายถ้าเราอยู่ตรงที่ทางแยก แล้วรู้ว่าเป็นแยกที่สำคัญของชีวิต แล้วเลี้ยวก็ต้องเลี้ยวให้ถูก 

ชีวิตผมมี 4 จุดหักเลี้ยวที่สำคัญ อาจจะสามารถสรุปชีวิตของผมได้ทั้งหมดเลย เลี้ยวครั้งแรก คือ ตอนที่ผมมีโอกาสได้ไปทำงานร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ผมตัดสินใจเสนองานที่เขาไม่ได้ขอ แต่ปรากฏว่ามันโดนใจเขามาก เตรียมงานมาเป็นเดือน เพื่อเสี้ยววินาทีที่เขาหยิบแฟ้มสีน้ำเงินนั้นขึ้นมาดู ตอนนั้นก็ทำให้ได้เรียนฮาร์วาร์ดและเป็นการเปิดประตูหลายอย่าง

เลี้ยวที่สอง คือ ตัดสินใจกระโดดไปทำภาคการเงินระหว่างประเทศ ทำงานธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) ประจำสิงคโปร์ จากนั้นก็อยู่ต่างประเทศมาตลอดและกลายเป็นคนโกลบอล 

เลี้ยวที่สาม ชีวิตจากภาคการเงิน กระโดดไปสู่โลกดิจิทัล ถ้าเป็นนักลงทุนคือช้อนหุ้นได้ถูกเวลาที่สุด ไม่มีดอย เพราะมันเป็นช่วงจังหวะที่ภูมิภาคนี้กำลังเข้าสู่ดิจิทัลพอดี บริษัทนั้นกำลังมาแรง ก็เลยได้จังหวะนั้นไป ซึ่งเป็นการโยกจากการเงินมาทำดิจิทัล แล้วก็เปลี่ยนแบรนด์ตัวเองจากนักเศรษฐศาสตร์ มาเป็นมนุษย์ดิจิทัลแล้ว

เลี้ยวสุดท้ายสำคัญที่สุด เพิ่งคิดออกตอนเขียนหนังสือเล่มนี้ คือ การตัดสินใจกลับเมืองไทยแล้วลาออกจากงานประจำทั้งหมด อาศัยความบ้าบิ่นระดับหนึ่ง แต่ว่ามันมาจากการตกผลึกหลายอย่าง ถ้าอ่านจากเล่มนี้จะรู้ว่า มันมีการตกผลึกหลายอย่างจนมาถึงเรื่องนี้

โหยหาความท้าทาย  คุณอยากมีนักเศรษฐศาสตร์ไหม?’

คำถามที่ไม่บังเอิญ 

มองไปตอนนั้น เราวิเคราะห์ว่าภูมิภาคอาเซียนของเรามันน่าจะมาแรงพอสมควร แต่อยู่อาเซียนมาหลายปีแล้ว เหมือนจะมาก็ไม่มาสักที จนพอยุคดิจิทัลมันก็มาพอดี ซึ่งถ้าเราได้ไปอยู่แถวหน้ามันน่าจะสร้างเอกลักษณ์ให้เราพอสมควร ทำให้เราไปรู้เรื่องที่คนอื่นไม่รู้เรื่อง เลยคิดว่าเรื่องนี้มันเมกเซนส์ แต่ถ้าเอาเข้าจริงแล้วอันนี้ก็เป็นแค่ส่วนเดียว ส่วนไม่ใหญ่ด้วย

ส่วนต่อมาผมไม่อยากดิสรัปต์ (disrupted) ตัวเอง เพราะเมื่ออยู่ตำแหน่งของตัวเองนานพอสมควร มันจะไม่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ มันไม่รู้สึกตื่นเต้น เราเลยโหยหาความท้าทาย 

อีกหนึ่งเหตุผล คือ บังเอิญไปเจอคนก่อตั้งบริษัท เขาเป็นคนจีนเชื้อชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าต้องคุยกับคนนี้เพื่อเข้าใจอาเซียน และเขากำลังเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เขาก็เลยมาคุยกับผม ระหว่างที่คุยกัน ผมเลยพูดเล่นว่า คุณอยากมีนักเศรษฐศาสตร์ไหม เขาก็พูดตรงๆ ว่าไม่มีตำแหน่งนี้ในบริษัทของเขา แล้วเขาก็นิ่งไปสักแป๊บหนึ่ง จนบอกว่าถ้าคุณอยากทำจริง ทำไมไม่เขียนตำแหน่งและขอบเขต

การงาน (Job description) มาล่ะ ผมก็ใช้เวลาเขียนเป็นอาทิตย์ เขียนมา 4-5 หน้า เขาก็โอเค เขาก็เขียนออฟเฟอร์ในกระดาษให้

โอกาสมาพร้อมการเตรียมตัวที่ดี

ไม่ใช่แค่รู้ก่อน แต่ต้องทำอะไรมาก่อน 

ถามว่าการเข้าใจสถานการณ์โลกทำให้หักเลี้ยวถูกได้อย่างไร? 

มันเหมือนเราขับรถจริง ที่อยู่ดีๆ เราอาจจะหักเลี้ยวตรงที่มันไม่มีถนนเลย มันก็เลี้ยวได้ แต่มันก็จะเข้าพง มันจะไม่ไปไหน ฉะนั้นต้องรู้ก่อนว่ามีแยกใหญ่ที่เลี้ยวแล้วมันจะเปลี่ยนตรงไหน อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก 

ศิลปะการใช้ชีวิต คือ เราจะต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราจะต้องก้มหน้าก้มตาขับรถพุ่งออกไป แล้วโฟกัสกับมัน เพราะเราเลือกมา และเมื่อเราที่เอา ต้องตั้งคำถามว่า เอ๊ะ! มันมีทางแยกเพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า คือ ก่อนที่ผมจะมาถึงวันนั้น ต้องทำงานหนักจากงานเก่า จนได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ มิสเตอร์อาเซียน คือ ถ้าไม่ได้ศึกษาดิจิทัลมาก่อนก็จะสื่อสารเขาไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่แค่รู้ก่อน แต่ต้องทำอะไรมาก่อน เตรียมตัวมาก่อน โอกาสมันก็จะมาพร้อมกับการเตรียมตัวที่ดี

จุดเปลี่ยนมันก็เริ่มตั้งแต่เลี้ยวแรก การทำสิ่งที่อาจารย์ไม่ได้ขอคือสิ่งที่เขาต้องการ เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร เราก็เกินจากสิ่งที่เขาขอ จนวันที่เราหยิบแฟ้มขึ้นมาแล้วมันเปลี่ยนทุกสิ่งเลย ความโชคดีมันเกิดขึ้น เมื่อเราเตรียมพร้อมรับโอกาสอยู่เสมอ 

จากสายการเงิน พลิกลุยดิจิทัล 

เล่นทุกตำแหน่งที่เขาอยากให้เล่น 

ตอนที่เปลี่ยนจากทำการเงินมาลุยด้านดิจิทัล รู้สึกไม่มั่นใจมาก พอเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีแล้ว นึกภาพเหมือนโททัล ฟุตบอล (Total football) มันต้องเล่นทุกตำแหน่งที่เขาอยากให้เล่น ยิ่งเป็นผู้บริหารเรายิ่งต้องไปทุกที่ แล้วบริษัทมันโตแล้วก็ยิ่งเหมือนขยับเร็ว เดิมที่เราเคยเป็นคนวิเคราะห์เศรษฐกิจ ให้ความรู้กับนักลงทุน 

แต่อันนี้มันเปลี่ยนไปในสิ่งที่เราไม่รู้เรื่องเลย น้องในทีมเขาเด็กเทคโนโลยีมาก กลายเป็นว่าเด็กเขาต้องสอนเราซะส่วนใหญ่ 

ผมว่าด้านหนึ่งรู้สึกไม่มั่นใจมากๆ แต่อีกด้านก็รู้สึกที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่แล้วมันเปิดโลก เหมือนเราไปเที่ยวที่ใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักเลย ไอ้ความรู้สึกนั้น ผมว่ามันสนุก

เป็นแชมป์วันนี้ ก็เป็นผู้แพ้ได้ทุกเมื่อ

Growth Mindset เหมือนกล้ามเนื้อที่ต้องฝึก

ผมเชื่อว่า Growth Mindset มันเป็นเหมือนกล้ามเนื้อที่เราต้องฝึก ยิ่งมีตั้งแต่เด็กก็จะยิ่งดี ผมคิดว่าตัวเองได้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งก็อาจจะได้มาเพราะความบังเอิญ เพราะตอนเด็กย้ายโรงเรียนบ่อย คือ จากโรงเรียนไทยไปเรียนอินเตอร์ จากโรงเรียนอินเตอร์ไปอังกฤษ มันกลายเป็นว่าอยู่บางที่แล้วเราเก่ง แต่บางที่เราก็รู้สึกไม่เก่ง 

เรารู้จักการเรียนรู้เป็นผู้แพ้ และเรียนรู้การเป็นผู้ชนะ มันสำคัญมาก ยิ่งตอนที่เราเป็นผู้ชนะเราจำตอนที่เราแพ้ได้ ว่าตอนนั้นมัน

เป็นยังไง เราก็จะไม่รู้สึกเหลิงลืมตัว ในขณะเดียวกันตอนที่เราเป็นผู้แพ้เราก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองห่วย ไม่ได้เรื่อง มันทำให้เรามีทั้งสองอย่างในตัว 

ปกติแล้วเวลาที่มีคนคิดต่างจากเรา เราก็จะรู้สึก Defensive กดเอาไว้ เราจะรู้สึกเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่ประมาณหนึ่ง แล้วเราก็จะรู้สึกกลัวการเปลี่ยนแปลง เราจะไม่อยากทำอะไรใหม่ ไม่อยากไปในห้องที่คนอื่นรู้มากกว่าเรา เราอยากจะอยู่แค่ในห้องที่เราเก่ง เราจะชอบคนที่เยินยอเรา หรือชอบการถือถ้วยรางวัลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมรู้สึกว่าความคิดแบบนั้นปัจจุบันมันอันตราย เพราะวันนี้โลกมันเปลี่ยนเร็วมาก เพราะฉะนั้นเราเป็นแชมป์อยู่วันนี้ เราก็เป็นผู้แพ้ได้ทุกเมื่อ

ออกแบบชีวิตสูตรใครสูตรมัน 

ถามว่า เราจะสามารถออกแบบชีวิตและสร้างพอร์ตโฟลิโอของตัวเองอย่างไรได้บ้าง? 

แต่ละคน มันจะต้องหาสูตรของตัวเอง มันอยู่ที่จังหวะชีวิต เช่น ถ้ามีครอบครัว หรือมีลูก มันก็จะมีการจัดการอีกแบบหนึ่ง หรือคนโสดก็จะมีการจัดการพอร์ตตรงนี้อีกแบบ อาจจะสามารถทำตัวอะไรตามใจตัวเองได้มากกว่า กรณีผมเองที่มีครอบครัว ก็จะมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ต้องคิดว่า บางทีเราทำบางสิ่งอยู่มันก็ดีแหละ แต่รายได้ล่ะพอไหม มันก็ต้องมีการเมเนจ (Manage) ให้พอร์ตบาลานซ์กันได้ดีด้วย

จะทำให้ประเทศมันดีขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่ 

ถามว่า ขณะที่เกิดกระแสเด็กรุ่นใหม่อยากย้ายประเทศ 

ทำไมตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย?

ผมไม่กล้าบอกว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกเหมือนกัน เพราะเพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงปี ต้องออกตัวตรงนี้ก่อน ซึ่งการตัดสินใจ ถูก หรือ ผิดกับผลที่จะออกมานั้นมันจะดี หรือ ไม่ดีมันเป็นคนละเรื่องกัน คือผมคิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ถูก แต่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาดีไหม แต่ต่อให้ผลออกมาไม่ดี ก็ไม่ได้คิดว่ามันผิด ซึ่งจะมีบทหนึ่งในหนังสือที่พูดว่าวันนี้ วันหน้า วันหนึ่ง 

วันนี้ตัดสินใจเพื่อความสุขเพื่อวันนี้ วันนี้น่าลงทุนเพื่อความสุขวันหน้า แต่วันหนึ่งนานทีที่จะมา แล้วมันสำคัญมาก เพราะการที่เราจะตัดสินใจบางอย่างว่า เฮ้ย! อันนี้มันคือตัวตนของเรา 

แล้วถ้าเราไม่ตัดสินใจอย่างนี้ แล้วเราจะเสียใจทีหลัง การตัดสินใจแบบนี้มีไม่กี่ครั้งในชีวิต แต่ถ้ามันมีแล้วส่วนใหญ่จะชัดมาก

คำถามที่ว่าจะกลับเมืองไทยดีไหม ผมคิดกับภรรยาทุก 2 ปี ง่ายมาก เพราะว่าบ้านเช่าที่นั่นมันเปลี่ยนสัญญาทุก 2 ปี (หัวเราะ) 

แต่ผมเข้าใจว่าคำถามในการกลับมาครั้งนี้ มันไม่ได้ถามว่าจะกลับ หรือไม่กลับ แต่คำถามจริงๆ คือ ชีวิตบทหน้าอยากจะทำอะไร เราทำงานเพื่ออะไร มันคือตรงนี้เลยที่เรานั่งถามกัน งานที่เราทำอยู่อาจจะประสบความสำเร็จได้ดี แต่มันให้ความสุขเราเหมือนเดิมไหม

ทุกคนก็จะบอกว่าสุขสิ เขียนบวกนู่นนี่กันตามกระดาษแล้ว มันก็ต้องสุขสิ จะไม่มีได้อย่างไร พอเราบอกเพื่อนว่าเราไม่แฮปปี้ เพื่อนก็จะบอกว่า โห อะไรวะ! แต่สุดท้ายพอมาตกผลึกจริงๆ พบว่า มันไม่มีความสุข ไม่ใช่เพราะมันเบิร์นเอาต์ (Burn Out) แต่สิ่งที่มันได้จากงานที่เราทำ มันไม่ได้หอมหวานเหมือนเดิม พูดง่ายๆ ว่าจุดหมายของชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้ว

มันอยากจะทำอะไรให้ประเทศไทยเยอะขึ้น ประเทศไทยคนรุ่นใหม่อยากออกนอกประเทศ เอาเข้าจริงฟังแล้วก็รู้สึกผิดนะ เพราะผมก็เป็นคนรุ่นกลางคนหนึ่ง แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย! เราจะทำให้ประเทศมันดีขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงลูกเราด้วย ทำให้มันน่าภูมิใจขึ้นมาแบบนี้ เราจะเอาแค่ตัวเองรอด แล้วไม่ทำอะไร มันจะโอเคหรือ 

ความรู้สึกตรงนี้มันมากขึ้น เราเลยรู้สึกว่าอยากกลับมาทำอะไรที่มันช่วยได้เต็มๆ มาดูว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้าง

ภูษิต ภูมีคำเรื่อง

พัทรยุทธ ฟักผลภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image