ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ออกเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยทรัมป์มีกำหนดจะเดินทางไปตามประเทศและเมืองต่างๆ ถึง 6 แห่งในเวลา 8 วัน อาทิ ซาอุดีอาระเบีย นครวาติกัน และเยรูซาเลม นอกจากนี้ยังจะพบกับผู้นำโลกมากมายตั้งแต่กษัตริย์ซัลมานของซาอุดีอาระเบียไปจนถึงประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส
การเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์มีขึ้นระหว่างที่เขากำลังเผชิญความกดดันอย่างหนักหลังสั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง หรือเอฟบีไอ ออกจากตำแหน่ง ทำให้มีข่าวอื้อฉาวตามมาว่าทรัมป์ปลดโคมีย์เพราะไม่พอใจกับการที่เอฟบีไอยังเดินหน้าสอบสวนตามข้อกล่าวหาถึงความเกี่ยวพันระหว่างทีมรณรงค์หาเสียงของเขากับรัสเซีย ที่หลายฝ่ายระบุว่าได้เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ผ่านมาเพื่อช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งดังกล่าว
ทรัมป์ทวีตข้อความก่อนออกเดินทางระบุ ”พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งใหญ่ จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกัน นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบที่จะทำ” โดยทรัมป์กล่าวก่อนออกเดินทางว่า เขาจะพูดคุยกับผู้นำชาติมุสลิมและขอให้ร่วมกันต่อสู้กับความเกลียดชังและการก่อการร้าย และเปิดรับอนาคตแห่งสันติตามความเชื่อมั่นศรัทธาของตน
ทรัมป์จะเยือนซาอุดีอาระเบียเป็นเวลา 2 วัน โดยจะพบหารือกับผู้นำชาติอาหารับซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมตามคำเชิญของซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้คาดว่าทรัมป์ยังจะประกาศความตกลงการค้าอาวุธครั้งใหม่ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลกับซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการด้วย
ที่อิสราเอล ทรัมป์คาดหวังว่าจะสามารถผลักดันให้มีการฟื้นฟูกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าจะดำเนินการได้ด้วยวิธีใด แต่การพบปะกับผู้นำอิสราเอลอาจมีเรื่องที่ต้องถกเถียงกันเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าทรัปม์ได้แบ่งปันข้อมูลที่ได้จากหน่วยข่าวกรองอิสราเอลให้กับเจ้าหน้าที่รัสเซีย
จากนั้นทรัมป์จะเดินทางไปพบกับสมเด็จพระสันตะปาปาพรานซิส ที่นครวาติกัน และจะเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อพบกับชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต และปิดท้ายด้วยการเดินทางไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือจี 7 ที่เกาะซิซิลีของอิตาลี
