เมย์แบงก์ปรับลดเป้าดัชนีหุ้นไทย คาดเงินฝรั่งไม่ไหลเข้าเหมือนต้นปี

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีปี 2560 ลงเหลือ 1,600 จุด จากเดิมที่คาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,650 จุด เนื่องจากประเมินว่ากระแสเงินทุนต่างประเทศจะไม่ไหลเข้า เพราะหากไหลเข้าจะต้องมาซื้อตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเหมือนกับตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นที่ดัชนีตลาดประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ปรับตัวขึ้นกว่า 16-17% นอกจากนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยไม่ได้โตแรงมากนัก คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2560 จะโตที่ 6% และปี 2561 จะโตที่ 10% นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องระดับหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของกลุ่มธนาคารยังคงมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนทยอยระดมทุนผ่านตลาดทุน ทั้งการเพิ่มทุน ออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น เพื่อบริหารสภาพคล่องหลังการออกหุ้นกู้ ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บี/อี) มีต้นทุนสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาขึ้น ซึ่งในระยะนี้กำไรอาจเติบโตไม่ทันกับจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อราคาหุ้นในระยะสั้นให้ปรับตัวลดลงได้

อย่างไรก็ตาม เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ได้ปรับปรุงการนำเสนอข้อมูลด้านการลงทุนต่างๆ ให้ครบถ้วน ครอบคลุม และรวดเร็ว ผ่านช่องทางการนำเสนอที่หลากหลาย ได้แก่ LINES @MBKET สำหรับลูกค้า และ @maybankfriends สำหรับนักลงทุนทั่วไป, E-mail, Facebook, เว็บไซต์ และผ่าน Application เข้าถึงนักลงทุนได้จริง

ทั้งนี้ ทีมวิจัย เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้เปิดตัว 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะช่วยสรุปและย่อยข่าวสารสำคัญด้านการลงทุนที่ส่งตรงถึงลูกค้าเป็นประจำทุกวัน ได้แก่ 1. ATO หรือ At The Open : เสิร์ฟข่าวเด่น เน้นกลยุทธ์การลงทุน ลึกลงราย sector ครบทุกข้อมูลข่าวสารส่งตรงให้นักลงทุนตลอดวัน โดยมีหัวข้อเด่น อาทิ Market summary, Big issue, Trading idea, สรุปข่าวเด่น, ข้อมูลด้านกลยุทธ์-เทคนิเคิล, หุ้นเด่นประจำวัน

2. Portfolio Model โมเดลการลงทุน 3 สไตล์ใหม่แกะกล่อง เปิดตัวเป็นครั้งแรกในวงการหลักทรัพย์ไทย ซึ่งเหมาะกับนักลงทุน 3 สไตล์ กับการแนะนำหุ้นรายวันครั้งละไม่เกิน 10 หุ้น ได้แก่ กลุ่ม Trading Style (สไตล์ใส่ใจ) เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ลงทุนอย่างมีวินัย เน้นทำกำไรระยะสั้น (1-2 เดือน) อีกกลุ่มคือ กลุ่ม Momentum Style (สไตล์ไร้ใจ) เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลามาค้นหาข้อมูล โมเดลนี้จะประมวลและคัดสรรหุ้นจากสถิติและข้อมูลในอดีตจนถึงปัจจุบัน (Quantitative Analysis) ซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำกำไรระยะปานกลาง-ยาว (6 เดือนขึ้นไป) และกลุ่ม Income Style (สไตล์อุ่นใจ) หุ้นเด่นปันผล เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ รับความเสี่ยงได้น้อยและลงทุนระยะยาว (1 ปี) 3. Small CAP เฟ้นหาหุ้นขนาดเล็กที่ดี มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยพิจารณาจากความถี่ถ้วนในการวิเคราะห์งบการเงิน และโครงสร้างทางธุรกิจ สุดท้ายคือ 4. mai คัดเลือกหุ้นในตลาด mai ที่เป็นดาวเด่นมานำเสนอให้กับผู้ลงทุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่สูงให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะยาว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image