คลังปราม สุรา-ยาสูบห้ามขึ้นราคาจากการเก็บเงิน 2% เข้ากองทุนผู้สูงอายุ ชี้กระทบต้นทุนเพียงเล็กน้อย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษก กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเมื่อ 1 สิงหาคม 2560 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่ ..)พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อนำเงินจากภาษีบาป 2% มาเข้ากองทุนผู้สูงอายุ โดยนำเงินดังกล่าวไปเพิ่มให้กับคนชรามีรายได้น้อยลงทะเบียนในโครงการสวัสดิการภาครัฐจำนวน 4 ล้านราย และในจำนวนนี้รายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทประมาณ 3 ล้านคน จากจำนวนผู้สูงอายุ 60 ปี ประมาณ 10.3 ล้านคน หลังจากนี้คงต้องรอการแก้ไขกฎหมายตามกระบวนการ คือเข้าสู่การพิจารณาของกฤษฎีกา เข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) คาดว่ากฎหมายมีผลปี 2561

นายกฤษฎา กล่าวว่า ในร่างพ.ร.บ.กำหนดแหล่งเงินเพิ่มเติมสำหรับกองทุนผู้สูงอายุ โดยให้กองทุนผู้สูงอายุได้รับเงินบำรุงกองทุนในอัตรา 2% ของภาษีที่เก็บจากสินค้าสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กำหนดวงเงินสูงสุดไม่เกินปีละ 4,000 ล้านบาท โดยอัตราที่จัดเก็บดังกล่าวกระทบต่อต้นทุนของสุรา-ยาสูบน้อยมาก เช่น สินค้าราคา 100 บาท เสียภาษี 10 บาท ส่วนที่จะเข้ากองทุนชรา 2% ของ 10 บาท คือ 20 สตางค์ เท่านั้น ดังนั้นผู้ประกอบการไม่ควรอ้างเรื่องการเก็บเงินเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพื่อขึ้นราคาสินค้า ซึ่งสินค้าดังกล่าวไม่ใช่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตต้องไปควบคุมราคา โดยการนำเงินจากจากภาษีบาปมาเข้ากองทุนเพื่อให้กองทุนมีแหล่งเงินที่ชัดเจนในระยะยาวดีกว่าการใช้เงินงบประมาณ

นายกฤษฎา กล่าวว่า นอกจากนำเงินมาจากภาษีบาปแล้ว สศค.กำลังเตรียมดำเนินโครงการสละสิทธิ์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพื่อบริจาคเข้ากองทุนผู้สูงอายุ คาดว่าจะมีผู้สละสิทธิ์ประมาณ 5 แสนคน มีเงินเข้ากองทุนอีก 4,000 ล้านบาท รวมกับเงินจากภาษีบาป 4,000 บาท อยู่ที่ 8,000 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะเพิ่มให้คนชราที่ยากจนเดือนละ 100-200 บาท จากที่ได้รับ 600-900 บาท ตามช่วงอายุ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image