EARTHดึงผู้ถือหุ้นร่วมฟ้องธนชาต6หมื่นล. ยื่นขอฟื้นฟูกิจการนัดไต่สวน18กย.นี้

นายขจรพงศ์ คำดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ เอิร์ธ (EARTH) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่องโดยการซื้อขาย โดยบริษัทไม่ได้รับการต่อวงเงินกู้จากลูกหนี้รายใหญ่ คือ ธนาคารกรุงไทย จากการเปลี่ยนผู้บริหารซึ่งอาจจะทำให้นโยบายเปลี่ยนไป และมีเจ้าหนี้รายอื่นไม่ต่อวงเงินกู้เช่นกัน ทำให้เงินตึงตัวและนำมาซึ่งการขาดสภาพคล่องและทำให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน(บีอี) ซึ่งธนาคารกรุงไทยเป็นเจ้าหนี้ตั๋วด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเงินฝากอยู่ที่ธนาคารธนชาตจำนวน 800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะนำไปหมุนเวียนธุรกิจในประเทศและโอน 400 ล้านบาทไปให้บริษัทลูกที่ประเทศจีนเพื่อทำธุรก และเงินโอนได้รับการอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยและทางการจีนแล้ว เพื่อนำรายได้และกำไรมาจ่ายคืน

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกรุงไทยได้ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขออายัดเงินของบริษัทที่อยู่ในบัญชีเงินฝากของบริษัทที่ฝากไว้กับธนาคารธนชาตจำนวน 800 ล้านบาท ตามคดีดำ เลขที่ กค.129/2560 และ กค.131/2560 ซึ่งตามรายละเอียดในคดีระบุว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยมีสัมพันธ์ที่ดีกับธนาคารธนชาต ทำให้ทราบว่าธนาคารธนชาตมีเงินฝากอยู่ เป็นที่มาให้ธนาคารกรุงไทยฟ้องอายัดเงินในบัญชีนั้น ซึ่งการกระทำของธนาคารธนชาตเข้าข่ายความผิดพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 เพราะมีการเปิดเผยข้อมูลลูกค้า บริษัทจึงได้ฟ้องร้องศาลแพ่งให้ดำเนินคดีข้อหาละเมิดต่อธนาคารธนชาติน้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 60,000 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีดำ เลขที่ พ.1552/2560

นายขจรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้ใช้เงินผิดประเภทและยังดำเนินกิจการอยู่ โดยมีธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารเพื่อส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) ให้การสนุบสนุนการเงิน สำหรับการเรียกร้องความเสียหายดังกล่าวบริษัทคำนวนจากมูลค่าความเสียหายที่บริษัทได้รับจากกรณีที่ธนาคารธนชาตมีการบอกข้อมูลเงินฝากของบริษัทที่มีอยู่กับธนชาต ธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทจึงไปฟ้องอายัดบัญชีเงินฝากของบริษัท ซึ่งหากเงินจำนวนดังกล่าวสามารถนำไปให้บริษัทลูกลงทุนในจีนคาดว่าจะมียอดขาย 3 ปี กว่า 1 แสนล้านบาท และมีแผนที่นำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีน ซึ่งโอกาสที่จะได้เงินจากไอพีโอและคาดว่าจะเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปสูง

“บริษัทพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเต็มที่เพื่อให้กลับมาทำธุรกิจได้ดังเดิม แต่ขณะนี้โดนมัดมือมัดเท้า ไม่มีสภาพคล่องธุรกิจและไม่สามารถจ่ายเงินแก่พนักงานได้ จึงจะมีการส่งหนังสือถึงผู้ถือหุ้นรวมกว่า 18,000 รายมาเป็นโจทก์ร่วมกันเพื่อยื่นฟ้องความเสียหาย” นายขจรพงศ์ กล่าว

Advertisement

นายขจรพงศ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้ยื่นต่อศาลเพื่อฟื้นฟูกิจการ และจะมีการนัดไต่สวนรอบแรกวันที่ 18 กันยายนนี้ ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินในบัญชีประมาณ 21,000 ล้านบาท และมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเจ้าหนี้และคู่ค้ารวม 6-7 ราย รวมทั้งสิ้นอีก 26,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามจำนวนนี้ไม่ได้ระบุในบัญชีและต้องไปเจรจาไกล่เกลี่ยในชั้นศาล ซึ่งยืนยันว่าหากสามารถฟื้นฟูกิจการได้จะมีการชำระหนี้คืนเจ้าหนี้ทุกรายพร้อมดอกเบี้ย

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image