ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
จากวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดพิพากษาคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
มาถึงวันนี้นับเวลาได้สัปดาห์กว่า
ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคมถึงปัจจุบัน ทุกอย่างยังคงสะท้อนภาพเก่า
สะท้อนภาพการเมืองที่คมชัด
สะท้อนภาพประเทศชาติที่ยังมืดมน
ย้อนกลับไปก่อนปี 2548 ซึ่งประเทศไทยกำลังฮึกเหิมกับการเป็นผู้นำในภูมิภาค
หลังจากนั้น 1 ปี เมื่อปี 2549 ประเทศไทยภายใต้ความขัดแย้งอย่างรุนแรงก็หวนกลับสู่การรัฐประหาร
และหลังจากการรัฐประหารปี 2549 ประเทศไทยก็ตกอยู่ในสภาพล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
มีการกวาดล้างพรรคไทยรักไทย มีการไล่ล่า ทักษิณ ชินวัตร มีการเลือกตั้งใหม่
มีความขัดแย้งในสภา มีความขัดแย้งนอกสภา มีคนเสียชีวิตกลางเมือง มีเผาเมือง
แล้วก็มีการรัฐประหาร
ความเปลี่ยนแปลงหลังจากการรัฐประหารครั้งล่าสุด คือ ทิศทางการเมืองของประเทศชัดเจนขึ้น
นั่นคือไม่เอาทักษิณและตระกูลชินวัตร
ไม่เอาพรรคพลังประชาชน และรวมถึงไม่เอาพรรคเพื่อไทยด้วย
แม้หลังการรัฐประหาร จะมีความหวังจากฝ่ายคนเสื้อแดงว่าเลือกตั้งเมื่อใดก็จะได้อำนาจกลับคืน
หากแต่จนถึงปัจจุบัน กระแสเสียงเรื่องการเลือกตั้งก็เริ่มแผ่ว
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยืนยันหนักแน่ในโรดแมปที่ประกาศไป
แต่ความไม่เชื่อมั่นเริ่มก่อเกิดขึ้น
ความเชื่อมั่นที่เริ่มถูกบั่นทอน เริ่มจากความเชื่อมั่นทางการเมือง
เมื่อมีการเลื่อนโรดแมปครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อมีการประกาศเริ่มต้นใหม่ในหลายรูปลักษณะ
ทั้งการเริ่มต้นใหม่โดยแม่น้ำ 5 สาย การเริ่มต้นใหม่โดยเปลี่ยนแปลงภายในแม่น้ำ 5 สาย
การเริ่มต้นใหม่โดยตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการชุดใหม่
รวมไปถึงการเริ่มต้นใหม่ด้วยการออกกฎหมายออกมากำหนด
กำหนดในรูปของการปฏิรูป
ทุกประการคือความหวังเมื่อครั้งแรกมีการรัฐประหาร แต่พอเวลาผ่านพ้นไป 3 ปี
นี่ย่อมส่งผลสะเทือนต่อการบริหาร
ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางการเมือง
อีกความเชื่อมั่นหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ และมีอานุภาพใต้น้ำ ที่รุนแรงกว่า คือ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาสวยหรู
สวยหรูจนถึงกับต้องปรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจกันใหม่
ปรับให้เติบโตขึ้น เพราะดูเหมือนปัจจัยต่างๆ เอื้ออำนวย
หากแต่ผลการสำรวจความเป็นอยู่ของ รากหญ้า กลับพบว่ากำลัง ถดถอย
จำนวนหนี้สินภาคครัวเรือน ความเดือดร้อนของธุรกิจเอสเอ็มอี รวมถึงตัวเลขอื่นๆ ที่กำลังเป็นปัญหา
แสดงถึงความเป็นอยู่คน 2 กลุ่มในประเทศเดียวกัน แต่มีทิศทางของรายได้แตกต่างกัน
ทุนกำลังมีรายได้เพิ่ม แต่ประชาชนกลับมีรายได้น้อย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นในถ้อยคำที่ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นถูกบั่นทอน
ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจถูกบั่นทอน
นั่นคือสภาพที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์หลังวันที่ 25 สิงหาคม ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายอย่างตามมา
มีการติดตามเส้นทางหลบหนีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคำโพสต์คิดถึง มีคำโพสต์ล้อเลียน
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหา คสช.ว่า เปิดทาง ร่วมมือ
และอื่นๆ จึงทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไปได้
และมีคำชี้แจงจากฟากฝั่งของ คสช. ปฏิเสธรู้เห็นการ
หลบหนีไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ทั้งนี้หนึ่งในปรากฏการณ์ คือ ถ้อยความที่ ทักษิณ ชินวัตร ทวีต
“มงแต็สกีเยอ เคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีความเลวร้ายใด ที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”
เป็นข้อความทวีตที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ ไร้คำอธิบายเพิ่มเติม
แต่เป็นถ้อยความที่ถูกนำมาตีความ และมีความเชื่อมโยงถึงความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
ไล่เรียงเหตุการณ์จากปี 2548 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้
ประเทศไทยมีเพียงเรื่องเดียวที่คมชัด
นั่นคือ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายทักษิณ และฝ่ายต่อต้านทักษิณ
สังเกตได้จากอารมณ์กองเชียร์ที่ออกมาแสดงตนหลังจากมีปรากฏการณ์ต่างๆ ออกมา
อาทิ ไพฑูรย์ ธัญญา ที่เขียนกลอนหู กระทั่งเกิดความปั่นป่วนบานปลายอยู่ในแวดวงนักเขียนอยู่ในขณะนี้ ฯลฯ
นี่ย่อมเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความคมชัดเกี่ยวกับความขัดแย้ง
ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างทักษิณกับฝ่ายต่อต้านชัดแจ้ง
เรื่องอื่นๆ ในประเทศกลับยังมืดสลัว
การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดขึ้นได้ตรงตามโรดแมปหรือไม่กลายเป็นคำถามที่ดังอยู่เนืองๆ
เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตด้วยตัวเลขอันสวยงาม จะนำพาประเทศไปสู่ ความสุข ได้จริงหรือไม่
เพราะหากรายได้ที่ประเทศได้รับคือความเหลื่อมล้ำของคนในชาติ
โอกาสจะทำให้ประเทศมีความสุขก็ดูยังห่างไกล
สุดท้ายคือเรื่องทางสังคม อันเป็นหัวใจของความปรองดอง
นั่นคือ ความรู้สึกว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม
เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ทวีตครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์วันที่ 25 สิงหาคม
เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ยกถ้อยคำของ มงแต็สกีเยอ ขึ้นมา
นักอาชญาวิทยาอย่างทักษิณ คงไม่ได้ยกถ้อยคำนี้ขึ้นมาลอยๆ
หากแต่ต้องการส่งสัญญาณอะไร คงต้องติดตาม
ติดตามผลที่จะเกิดขึ้นกับการเมือง เศรษฐกิจ และอาจจะเลยไปถึงสังคมในลำดับต่อไป