พ่อแม่”น้ำมนต์”สาวแสบลวง 13 หนุ่มแต่งงานแสดงความบริสุทธิ์ใจพบกองปราบ ปัดเรียกสินสอด

เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายบุญเลี้ยง บัวใหญ่ อายุ 72 ปี และ นางสำรอง บัวใหญ่ อายุ 69 ปี พ่อและแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ หรือน้ำมนต์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ชาว จ.เลย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลรวม 5 หมาย ในคดีร่วมกันฉ้อโกงและคดีอื่นๆ ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงชายหนุ่มที่รู้จักกันผ่านทางเฟซบุ๊ก แล้วติดต่อคบหากันจนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ก่อนจะหลอกให้ร่วมลงทุนธุรกิจค้าผลไม้ แล้วอ้างว่าตั้งครรภ์ ขอให้ฝ่ายชายจัดงานแต่งงานให้ แต่กลับเชิดเงินสินสอดหลบหนีไป โดยมีผู้เสียหาย 13 ราย รวมมูลค่าเสียหายหลายแสนบาทข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป.เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุตรสาว

นายบุญเลี้ยง กล่าวว่า ตนกับภรรยา พบพนักงานสอบสวน บก.ป.ในครั้งนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนกรณีการจัดงานแต่งงานระหว่างผู้เสียหายกับบุตรสาวตนนั้น เป็นเรื่องของทางฝ่ายชายที่มาสู่ขอบุตรสาว มีการนัดหมายวันกันเพื่อจะเตรียมการจัดงาน ตนกับภรรยา ไม่ได้เป็นคนเรียกสินสอด หรือเรียกร้องใดๆ เพียงแต่เป็นสักขีพยาน ตามประเพณีเท่านั้น ที่ผ่านมา ก็เคยถามจากบุตรสาวว่าทำไมจะจัดงานแต่งงานใหม่ เขาก็บอกเพียงว่ากับผู้ชายคนเก่านั้นเลิกราไปแล้วเพราะอยู่กันไม่ได้

นายบุญเลี้ยง กล่าวต่อว่า ส่วนที่บุตรสาวจัดงานแต่งงานหลายครั้ง ตนก็ไม่ได้ติดใจสงสัย หรือซักไซ้ไล่เรียงเพราะเห็นว่าเขาก็โตแล้ว การตัดสินใจต่างๆ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของบุตรสาว อายุเขาก็ 30 กว่าแล้ว พ่อจึงไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความรักของเขา ให้ตัดสินใจเอง เขาสมยอมกัน จะจัดงานแต่งงาน ในฐานะที่เราเป็นผู้ปกครองก็ต้องรับรู้ในฐานะเป็นพ่อ เมื่อฝ่ายชายมาสู่ขอบุตรสาว

“เงินทองเขาให้กันวันไหน พ่อก็ไม่เคยรู้ เมื่อจัดงานแล้ว พ่อก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย แต่เท่ารู้คือเขาเอาเงินไปลงทุนค้าขายผลไม้กัน ยืนยันว่าไม่เคยเรียกสินสอดใดๆ ทุกอย่างเขาจัดการกันเอง พ่อก็อยู่ไกล แค่วันจัดงานแต่งงาน ก็มาร่วมพิธีการ พ่อก็มานั่งอยู่ด้วย แต่เวลามีข่าวออกไป ก็เหมือนพ่อถูกด่าฟรี ถูกด่าทั้งตระกูลว่าโกงเขา มันก็น่าเกลียด พ่อจึงอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ เข้ามาพบตำรวจว่าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับเงินสินสอด เขาจะให้กันยังไงเพราะเสน่หาหรือไม่ก็ไม่รู้” นายบุญเลี้ยง กล่าว

Advertisement

พ่อของผู้ต้องหาสาวรายนี้ กล่าวอีกว่า ตาสีตาสาหาเช้ากินค่ำ ทำสวนผักขายเล็กๆ น้อยๆ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เรื่องเงินทองนี่ตรวจสอบได้เลย ตนยินดีให้ข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านมา ตนได้ร่วมงานแต่งงานของบุตรสาว 4 ครั้งเท่านั้น ก่อนจะไปร่วมงานก็ไม่ใช่ไปส่งเดช พ่อแม่ของฝ่ายชายเขามาหาถึงบ้าน ญาติเขาก็มาอย่างนี้ เขาก็นัดหมายจัดงานกัน เรื่องการเตรียมงานต่างๆ เขาก็จัดกันเอง พ่อไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา ตนจำไม่ได้ว่าผู้ชายที่เคยมาสู่ขอบุตรสาวมีใครบ้าง แค่ไปร่วมงานแล้วก็กลับ
นายบุญเลี้ยง กล่าวว่า ทั้ง 4 ครั้ง จัดงานห่างกันพอสมควร อาจเพราะบุตรสาว มีโอกาสคบหากับผู้ชายหลายคน เมื่อเลิกรากับคนเก่าไปก็มาคบกับคนใหม่ เวลาที่เขาคบกันเป็นแฟน ก็ไม่เคยพามาทำความรู้จัก อีกอย่างเพราะอยู่กันคนละจังหวัดด้วย ก็ไม่สะดวกที่จะได้พบกัน ตนทำไร่ทำนา ไม่รู้เรื่องอะไร แต่พอมีข่าวออกมาก็รู้สึกตกใจ แต่ละครั้งที่จัดงานแต่งงานก็ห่างกันไม่ได้ติดกัน มีเพียงครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บุตรสาวจัดงานแต่งงาน 2 ครั้ง แล้วบอกตน เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาด้วย ตนก็ต้องไปงานในฐานะเป็นพ่อ แล้วถ้าจะมองว่าตนผิดก็ต้องผิดทั้งสองฝ่ายที่ตกลงใจให้ลูกได้แต่งงานกัน

นายบุญเลี้ยง กล่าวต่อว่า เรื่องที่บุตรสาวไปใช้ชื่อ น.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวนั้น ตนก็ไม่ทราบ เพราะอยู่กันคนละที่ ไม่ทราบเรื่องการกระทำของบุตรสาวเลย รวมทั้งกรณีการเปลี่ยนบัตรประชาชน หรือเรื่องการเปิดบัญชีธนาคารต่างๆ ก็ยืนยันว่าไม่ทราบเรื่อง

ด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อทางนายบุญเลี้ยง และนางสำรอง บิดาและมารดาของ น.ส.จริยาภรณ์ มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของบุตรสาว เราก็จะมีการสอบปากคำไว้ในเบื้องต้นก่อน ส่วนพยานหลักฐานต่างๆ ก็ต้องมีการตรวจสอบภายหลังการสอบปากคำเนื่องจากยังไม่ได้สอบปากคำจนได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน หลังจากนี้ก็จะพิจารณาว่า ยังมีพยานบุคคลใดที่จะต้องสอบเพิ่ม เนื่องจากกรณีนี้ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.และทาง พล.ต.ต.สุทิน ผบก.ป.ให้ความสำคัญ เพื่อดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย จึงต้องทำอย่างรัดกุม รอบด้านที่สุด

Advertisement

พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการประสานไปยังตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ นั้น เมื่อมีการสอบปากคำผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ก็จะส่งให้กับตำรวจท้องที่ หากมีประเด็นอะไรเพิ่มเติมก็จะต้องเรียกมาสอบอีกครั้ง สำหรับกรณีที่นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความ ได้พาผู้เสียหายเพิ่มเติมเข้าแจ้งความนั้นก็ต้องมีการสอบปากคำก่อน โดยขณะนี้ยังไม่พบว่ามีพยานหลักฐานอื่นมากเพียงพอที่จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากข้อหาเดิมกับ น.ส.จริยาภรณ์ รวมทั้งกรณีของ น.ส.สร้อยเพ็ชร ด้วย ก็ต้องให้ความเป็นธรรม ไม่ใช่แค่ว่ามีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ใช้กระทำผิด แล้วจะต้องถูกดำเนินคดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image