บทความ นพ.วิชัย เทียนถาวร รวย โดย ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 

บิล เกตส์ เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ว่ากันว่าเขามีการใช้ “ชีวิตเรียบง่าย” เช่นไร ควรแก่ศึกษา บางที่อาจทำให้เราเข้าใจนิยามของ “ชีวิตเรียบง่าย” ได้ดีเข้าใจยิ่งขึ้น สำหรับ บิล เกตส์ แล้ว ตามที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ที่พูดถึงต่อๆ กันมาว่า “เงิน” เป็นเพียงวัตถุภายนอกเท่านั้นและเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเพียงเพราะสิ่งนี้ เขาเคยกล่าวว่า “ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน” แต่ “เงินทำให้ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยามที่คุณมีเงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ คุณก็จะเข้าใจว่า ‘เงิน’ เป็นเพียงทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งเท่านั้น” บิล เกตส์ เคยเผยความเห็นของตนเองไว้ว่า หากคุณเคยขึ้นกับการเสวยสุขเกินพอดี คุณก็ไม่อาจใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาได้อีก ส่วนผมหวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างคนทั่วๆ ไป

ชีวิตอย่างคนทั่วๆ ไปที่ บิล เกตส์ พูดถึงแท้จริงแล้วก็คือ ชีวิตที่เรียบง่าย เขาไม่ชอบทำชีวิตตัวเองวุ่นวายขึ้นเพราะ “เงินทอง” ดังนั้น เขาจึงเกลียดการใช้เงินเพื่อความโอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง เวลาเจอคนคุ้นเคย “บิล เกตส์” ก็ยังทักทายมีไมตรีเหมือนเมื่อก่อน “อ่ะสวัสดีกับฮอตดอกด้วยกันหน่อยเป็นไง” มีครั้งหนึ่ง บิล เกตส์ กับเพื่อนขับรถไปประชุมที่โรงแรมฮิวตัน แต่เนื่องจากสายไปหลายนาที แต่ตอนนั้นหาที่จอดรถไม่ได้ เพื่อนของเขาจึงเสนอว่า ให้จอดไว้ยังที่จอดรถวีไอพีของโรงแรม แต่ บิล เกตส์ นั้นปฏิเสธเด็ดขาด ทั้งยังบอกว่า “โอ้ต้องจ่ายสิบสองดอลลาร์เชียวนะเป็นราคาที่ไม่คุ้มเลย” เพื่อนของเขาจึงพูดขึ้น “ไม่เป็นไรน่า เงินนี้ผมจ่ายเอง” ทว่า บิล เกตส์ ยืนยันว่า “นั่นไม่ใช่ไอเดียที่ดีเลย” พวกเขาเก็บเงินไว้ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ฝากรถไว้ในที่จอดวีไอพี

ในชีวิต บิล เกตส์ มักจะปฏิบัติตามคำกล่าวเสมอ “การใช้เงินก็เหมือนกับ ‘ผัดผัก’ จะต้องใส่ทุกอย่างให้พอดี ใส่เกลือน้อยไปอาหารก็จะจืดชืดไร้รสชาติ เกลือมากไปก็เค็มจนยากจะกลืน” ดังนั้น แม้จะเป็นเงินเพียงไม่กี่ดอลลาร์ก็ต้องทำให้มันแสดงคุณประโยชน์อันสูงสุดออกมา นอกจากความจำเป็นในการทำงานแล้ว น้อยครั้งที่ บิล เกตส์ และภรรยา จะไปรับประทานอาหารในภัตตาคารหรู โดยปกติแล้วพวกเขามักเลือกไปร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดประเภทเคเอฟซี บางครั้งจะอุดหนุนภัตตาคารเล็กๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Advertisement

ครั้งหนึ่ง บิล เกตส์ และภรรยายังมาห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าให้ส่วนลดสูงที่สุดในซีแอตเทิล “พอเดินเข้าห้าง บิล เกตส์ ก็ห็นบนกล่องข้าวโอ๊ตที่อยู่ไม่ไกลออกไปเขียนไว้ว่า “ลดพิเศษ 50%” เขาจึงเดินเข้าไปหยิบกล่องนั้นมาดูอย่างละเอียด บิล เกตส์ อยากรู้ว่ามันลดราคาจริงหรือเปล่า เพราะในห้างอื่นราคาสินค้าอย่างเดียวกันนี้สูงกว่าเท่าตัว และเมื่อเขาแน่ใจว่าเป็นสินค้าราคาถูกถึงได้จ่ายเงินซื้อมา และยังกล่าวกับภรรยาว่า “…วันนี้ผมดีใจมากเลยที่ไม่ต้องควักกระเป๋าเยอะ ดูท่าแล้วสินค้าในร้านนี้จะคุ้มค่ากว่ากันจริงๆ”

สำหรับเครื่องแต่งกาย บิล เกตส์ รู้สึกว่าขอเพียงสวมใส่สบายก็พอแล้ว และไม่ได้ให้ความสำคัญกับยี่ห้อไหนหรือราคาเท่าไร มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมปาร์ตี้ฤดูร้อน ผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ต่างก็เป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าของโลก แต่ บิล เกตส์ นั้นสวมเสื้อผ้าราคาถูกไปงาน แม้ว่าราคาของเสื้อผ้าชุดนี้จะถูกกว่าค่าซักรีดเสื้อผ้าชุดหนึ่งของดารานักร้องเสียอีก ทว่าเขากลับรู้สึกว่าแบบของมันไม่เลวเลยก็รู้สึกว่าตนเองพอใจ ในยามปกติ บิล เกตส์ ชอบสวมเสื้อเชิ้ตคอปก กางเกงลำลอง รองเท้ากีฬา และก็ไม่มีชิ้นใดเป็น “แบรนด์เนม” เลย

บิล เกตส์ ไม่มีกระทั่งคนขับรถส่วนตัว และไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินเหมาลำ เขามีงานลัดตัวตลอดทั้งปี ต้องนั่งเครื่องบินไปเข้าร่วมงานประชุมต่างๆ เสมอ จะนั่งแต่เครื่องบินชั้นประหยัด บิล เกตส์ บอกว่า มันแตกต่างกันไหม ถึงที่หมายเวลาเดียวกันเหมือนกัน

Advertisement

อาหาร “มื้อกลางวัน” ของเขาก็เรียบง่าย โดยทั่วไปจะเป็นเพียงแฮมเบอร์เกอร์ที่เขาโปรดปราน ครั้งหนึ่งบิล เกตส์ พาพนักงานหลายคนมายังภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งเพื่อฉลองวันเกิดให้ริก้า เลขาฯประจำออฟฟิศคนใหม่ แต่ละคนก็สั่งเหล้าและอาหารเลิศรส มีเพียงบิล เกตส์ เท่านั้นที่สั่งเหล้ากับแฮมเบอร์เกอร์ ภายหลัง “เมลินดา” ผู้เป็นภรรยาจึงเอ่ยปากต่อว่าเขา… “ทำไมคุณไม่สั่งอาหารสักหน่อยล่ะ แบบนี้จะทำให้ริก้ารู้สึกลำบากใจมากนะ” บิล เกตส์ กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ผมชอบกินแฮมเบอร์เกอร์นี่นา ผมไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น”

ด้วยอิทธิพลของบิล เกตส์ …ความเรียบง่ายของพนักงานในบริษัทไมโครซอฟท์ก็กลายเป็นที่รู้กันดี และสไตล์ง่ายๆ สบายใจเช่นนี้ก็นำมาสู่วิธี “การทำงานง่ายๆ” ด้วย…ดังนั้น บรรยากาศการทำงานของบริษัทไมโครซอฟท์จึงทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย และก็ยังส่งผลต่อการปลุกเร้าพลัง และความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานซึ่งค่อนข้างจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาทางธุรกิจ และความเป็นอยู่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเช่นนี้

จากเรื่องของ “บิล เกตส์” ต้นแบบชีวิตที่ดีที่สุด หนึ่งในคนรวย มั่งคั่ง ถือว่าประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจที่ทั่วโลกรู้จักดี การที่คนเรามีเงินเป็นพันๆ ล้าน มันเป็นเรื่องง่ายจริงหรือ? เชื่อว่าหลายคนทั่วโลกแม้ผู้เขียนเองและแฟนๆ มติชนก็มีความอยากรู้ อยากเห็น แล้วสะท้อนมาที่ตัวเรา ต้องทำอย่างไร? ในส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าเราๆ ท่านๆ พอมีเงินจับจ่าย มีเงินเก็บบ้าง อยากกินมีกิน อยากใช้มีใช้ ลูกขอสตางค์มีให้ ส่งเสียให้บิดามารดาบังเกิดเกล้า ที่สำคัญไม่เป็นหนี้ มีเงินหมุนเวียน เก็บออมไว้ยามยากแค่นี้จะพอแล้วกระมัง ดัง “คาถาพิเศษ” ว่า

ถ้ายังไม่รวยต้องขยัน คำกล่าวนี้เป็นคำสอนเรามักจะได้รับจากครอบครัวคนจีน เพราะคนจีนเลื่องชื่อในความ “ขยันหมั่นเพียรและเก่งกาจในเรื่องการทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ จากเล็กไปหาใหญ่ เช่น รถเข็นไปสู่เปิดภัตตาคารมีให้เห็น ลูกๆ หลานๆ คนจีนจึงมีความตั้งมั่นในคำสอนเหล่านี้ มาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขาไม่ลดละในความมุ่งมั่นอย่างง่ายๆ จนประสบความสำเร็จมีอยู่ให้เห็น มุมมองเช่นนี้คนส่วนใหญ่จะพร่ำสอนลูกหลานของตนให้เชื่อว่าเราต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับเงิน เพราะ “เงิน” ไม่ใช่
สิ่งที่เราจะเสกขึ้นมาได้ สิ่งนั้นคือเจตนาของพ่อแม่บ่มเพาะให้เราตั้งแต่เด็กๆ

เมื่อเติบโตจบการศึกษาจากระดับ ม.6 หรือปริญญาตรี เข้าสู่วัยทำงาน เขาก็จะมุ่งเน้นกับงานที่ให้ค่าตอบแทนสูงมากกว่าที่จะเน้น “คุณค่า” ของงาน พวกเขาจะรู้จักเคร่งครัดกับการทำงานและทำงานด้วยความเหนื่อยล้า และมีความทุกข์ทุกครั้งที่ต้องทำงานไม่มีความสุขกับงานสักครั้ง เนื่องจากภายในจิตใจเฝ้าครุ่นคิดแต่เพียง “ค่าจ้าง” ที่จะได้รับจากงานเท่านั้น โดยหลงลืมไปว่า “งาน” ให้มากกว่าเงินทอง หรือค่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็น…ความภาคภูมิใจ ความอิ่มเอมใจที่เห็นงานของพวกเขาออกมาดีมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น!!
แล้วในที่สุดพวกเขาจะตกเป็นทาสของเงินตรา เนื่องจากต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแลกเงินอย่างเดียว โดยไม่มีความคิดสร้างสรรค์ใดๆ เลยที่จะเก็บออม (ประหยัด) หรือทำให้เงินมีงอกเงยที่จะทำให้ชีวิตของเขาสมบูรณ์ พูนสุขอย่างที่ใจปรารถนา “พวกเขา” ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างเงินรูปแบบใหม่ๆ ทั้งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทุกคนที่มีอย่างเต็มเปี่ยม เพราะพวกเขามีความเชื่ออยู่เสมอว่าเงินเป็นสิ่งที่หามาได้อย่างง่ายๆ สะดวก และรวดเร็วไม่จำเป็นต้องเอาหยาดเหงื่อหรือแรงกายเข้าไปแลกจนแสนสาหัส!
ผู้เขียนเองเชื่อว่าที่พ่อแม่พร่ำสอนลูกหลานเราๆ ให้ขยันทำงานเพื่อแลกกับเงินเป็นเรื่องที่น่าจะ “ผิด” แต่บางที “ขยัน” อย่างเดียวไม่พอ พ่อแม่ต้องสอนให้เขารู้จัก “เก็บออม” และหาช่องทางเพื่อให้เงินที่ได้มานั้นเพิ่มพูนมากขึ้นอีกด้วย จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

“เงินหามาได้ง่ายๆ หาได้ที่ไหน” หลายคนอาจคิดจะถามในใจว่า เงินที่ได้มาง่ายๆ นั้นส่วนใหญ่มักได้มาอย่างผิดกฎหมายแน่นอน ประเด็นนี้หาใช่ไม่ แต่จะเป็นเงินที่ต้องได้มาเป็นเงินสุจริต ซึ่งพอหาได้ง่ายๆ สะดวกรวดเร็ว มีทุกหนแห่ง…มีดาราหรือนักแสดงที่เดินไปโชว์ตัวตามงานต่างจังหวัดเพียงไม่กี่ชั่วโมงได้ค่าตัวเท่ากับเงินเดือนผู้จัดการบริษัท หรืออาจมากกว่า นักร้องชื่อดังบางคนได้รับเชิญไปร้องเพลงไม่กี่เพลงก็ได้เป็นเงินหมื่นแสนแล้ว อีกอาชีพ คือนักอ่านสปอตโฆษณาใช้ความสามารถในการอ่านสื่ออารมณ์ หรือแม้อาชีพนักเขียนบางท่านก็ได้ค่าตอบแทนสูงด้วยศักยภาพประสบการณ์สูง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับฝีมือและดวงด้วย

“เงินคืออะไร? : สิ่งชั่วร้ายหรือพระเจ้า” หากพวกเราๆ ท่านๆ ติดตามเปรียบชีวิตของตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ… การเปลี่ยนทัศนคติที่คุณมีต่อเงิน จากที่คิดว่า…เงินเป็นสิ่งหาได้ยากต้องทำงานหนักอาบเหงื่อ

“รวย จน” เป็นเรื่องของโชค วาสนา : หากคุณไม่อยากตกเป็นทาสของเงินตรา ควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า… “เงินไม่ใช่พระเจ้า” และ “ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย” เงินเป็นเพียงสิ่งหนึ่งของที่มี… “คุณค่า” ของมันขึ้นอยู่กับคุณเป็น “ผู้ให้” มันเท่านั้น เราเป็น “นายมัน” เงินไม่ได้มีอำนาจชี้นำคุณให้เดินไปในทางดี หรือทางชั่ว… “คุณ” หรือ “เรา” ต่างหากเป็นคนกำหนดทั้งสิ้นเท่านั้น

คำว่า “รวย จน” เราคงได้ยินปู่ ย่า ตา ยาย กล่าวไว้ว่า “แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งวาสนาอย่าได้หวังเลย” เพราะความคิดว่า “รวย” หรือ “จน” เป็นเพียง “คำๆ” หนึ่งที่สมมุติขึ้นมากำหนดฐานะของคนว่ามีมากหรือมีน้อยหรือไม่มีเงินเลย หรือบ้างว่าเป็นเรื่องของบุญทำกรรมแต่ง หรือเป็นเรื่องของโชควาสนา เป็นความคิดแบบไทยๆ ซึ่งเป็นคำๆ นี้เป็นทำให้เกิดความเชื่อว่าตนเองเด่นหรือต่ำต้อย ไม่มีศักยภาพมากพอที่จะทำให้ชีวิตของคนดีอย่างที่คนใฝ่ฝันไว้ และคงไม่มีทางจะเป็นเศรษฐีอย่างคนอื่นได้ ทำให้คนบางคนท้อแท้เพราะความเชื่อเช่นนี้ใช้ชีวิตไปวันๆ ได้แต่เฝ้าดูคนอื่นคนแล้วคนเล่าประสบความสำเร็จบ้างประสบความล้มเหลวมีให้เห็น นี่เป็นเพราะ “ตัวเอง” คิดเอาเอง ชีวิตเราคงไม่มีวาสนาหรือมีวาสนามาแค่นี้ ก็ขออยู่แค่นี้ งอมืองอเท้าเพราะเราคงไม่มีโชควาสนาพอ เหมือนเป็นคนอื่นแน่นอน

ผู้เขียนเองเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่ประสบความสำเร็จอย่างเช่น “บิล เกตส์” เขาเชื่อมั่นในศักยภาพของตน ว่าทุกคนมีดีไม่แพ้คนอื่นๆ เช่นกัน และจงเชื่อมั่นว่า “ตนเอง” มีความสามารถมากพอที่จะทำความฝันของตนให้ประสบความสำเร็จได้เหมือนกับคนอื่นๆ หรือบางทีอาจดีกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ หากตั้งใจมากพอ จงเชื่อมั่นเลยว่าคุณต้องเป็นคนหนึ่งที่สามารถสร้างและมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมได้ เพราะว่า “วาสนาสร้างได้ด้วย “ตัวคุณ” ทั้งสิ้นเท่านั้น รวยจน เป็นสิ่งสมมุติเท่านั้น เราจะมีเงินหรือไม่มีเงินในกระเป๋า หรือมีมากมีน้อยเท่าไร ถ้าเราไม่บอกแล้วใครจะรู้ว่า “เรารวยหรือจน” แต่ถ้าท่านเป็นผู้มีความสุข หน้าตาอิ่มเอิบชื่นบานเสมอ มีชีวิตเรียบง่าย ขอเป็นเหมือน “ผู้ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า” หมั่นทำบุญทำทานเสมอๆ เขาก็เรียกกันทั่วๆ ไปว่าเป็น “คนรวย” แล้ว และ “รวยไม่รู้จบ” ด้วยนะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image