นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมายังคงเติบโตดี มีมูลค่าคงค้างรวม 11.37 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปลายปี 2559 ที่มีมูลค่าคงค้างรวม 11.02 ล้านล้านบาท ส่วนมูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีจำนวนผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวรวม 173 บริษัท ขณะที่มูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นในภาพรวม เพิ่มขึ้น 14% อย่างไรก็ตามหากไม่รวมธุรกิจการเงิน ธนาคารและการกู้ยืมภายในธุรกิจ มูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะสั้นจะลดลง 11% โดยกลุ่มที่มีการออกตราสารหนี้ระยะสั้นสูงที่สุดคือ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
“สำหรับในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ตามการคาดการณ์ของตลาด ทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทย ขณะเดียวกันมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% โดยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ในช่วง 9 เดือนแรก เป็นการไหลเข้าสุทธิ 2.14 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการเข้าซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 1.83 แสนล้านบาท และไหลเข้าซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 3.15 หมื่นล้านบาท ทำให้สิ้นไตรมาส 3 ต่างชาติมีมูลค่าการลงทุนสะสมสุทธิในตราสารหนี้ไทยทั้งสิ้น 8.14 แสนล้านบาท” นายธาดากล่าว
น.ส.อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีการออกหุ้นกู้แล้วประมาณ 6.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้มองว่า ณ สิ้นปีจะมีการออกหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท จากปัจจัยดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เอื้อต่อการระดมทุน อย่างไรก็ตามในช่วง 6-12 เดือนหลังจากนี้ ต้องรอดูนโยบายเฟดและนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ปรานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้หรือไม่ เช่น แผนปฏิรูปภาษี เพราะจะมีผลต่อทิศทางฟันด์โฟลว์ในประเทศเกิดใหม่
