ผู้เขียน | จันทร์รอน |
---|---|
เผยแพร่ |
ในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ผู้รู้บางคนแนะนำว่า ให้ลืมเรื่องเศร้า ให้จำเรื่องสุข ให้คิดถึงเรื่องราวที่ทำให้ชื่นบาน และลบเรื่องที่ทำร้ายจิตใจไปเสียจากความคิด
บางคนบอกว่าให้วางจิตไว้กับปัจจุบันขณะ อย่าปล่อยให้หลุดไปอยู่กับอารมณ์แห่งอดีต
หนทางนี้จะทำให้ชีวิตดี
ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น อารมณ์ที่ดี ย่อมนำพาให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่ดี
เพียงแต่ว่าบ่อยครั้งชีวิตไม่ง่ายขนาดนั้น
ลองดูเถอะ แค่ได้ยินเพลงเก่าๆ สักเพลง บางทีความรู้สึกเศร้าเทเข้ามาท่วมทันในใจ โดยแทบไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
ยิ่งกดความรู้สึกนั้นให้หายไป คิดจะกระตุ้นความเริงร่ามาให้หัวใจ กลับยิ่งเศร้างลึกเข้าไปอีก หรือไม่ก็สับสนกลายเป็นเพ้อเจ้อ แปลกแยกระหว่างที่เป็นจริงกับที่อยากจะเป็นไป
กระทั่ง ถึงจุดหนึ่งที่ฟังมองความเป็นไปในใจเงียบๆ เฝ้าดูโดยไม่กระตุ้นด้วยความอยากให้เป็นอย่างโน่นอย่างนี้ แม้จะเศร้าก็ปล่อยให้เศร้านั้นไหลไปโดยไม่ไปกำหนด กดดันให้เป็นอย่างอื่น
เมื่อนั้น เพลงเก่าจะเล่าความหวังเป็นภาพออกมาให้เห็น ว่าความเศร้านั้นผลิกดอก งอกรากมาจากเรื่องราวใด
อาจจะเป็นความผิดหวัง ความพลั้งพลาดบางอย่างที่ฝังใจ แต่เวลากลบไว้ทำให้มองไม่เห็น
เป็นความผิดหวัง พลั้งพลาดที่เราเองกลบฝัง สร้างเกราะป้องกันไว้ไม่ให้มาทำร้ายความรู้สึก และที่สุดลืมเลือนไป จนวันหนึ่งเสียงเพลงบางเพลงกระตุกให้เชื่อมร้อยกลับสู่ความทรงจำนั้น
เริ่มจากรับรู้อารมณ์แบบไม่เข้าใจว่าเศร้าเพราะอะไร และหากไม่เข้าไปพยายามหาทางหลีกหนี อารมณ์นั้นจะนำสู่เรื่องราวที่ลืมเลือนไป
เหมือนปรารถนาให้เราจัดการเสียใหม่
ทว่า บางเรื่องอาจแค่คิดใหม่ แล้วเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึกได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบหากจะแก้ไขต้องย้อนเวลาไปเปลี่ยนแปลงการกระทำ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
เหมือนว่า หากเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ความเศร้าไม่มีหนทางที่จะจางหาย
เหตุการณ์อย่างเก่า ย่อมสร้างอารมณ์อย่างเก่า ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่เกิดการกระตุ้นเตือน เชื่อมโยงเข้าไป แม้กระทั่งเสียงของเพลงบางเพลง
คล้ายจะเป็นอย่างนั้น หลีกหนี กลบฝังได้ชั่วคราว หาเรื่องราวรื่นรมย์มาปกปิดไว้ได้ในบางครั้ง แต่ที่สุดแล้วในวันใดวันหนึ่งอารม์นั้น เรื่องราวนั้นจะผลุดขึ้นมาโบยตีความรู้สึกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
คล้ายเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ทว่าศาสดากลับมีวิธี
บางนั้นแนะให้เรียนรู้การให้อภัย เริ่มจากอภัยกับสิ่งอื่น คนอื่นที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับเรา สะสมอภัยทานนั้นให้หนักแน่น กระทั่งวันหนึ่งถึงความสามารถที่จะให้อภัยตัวเองได้
ความผิดหวังที่คนอื่นสร้างให้ เราอภัยให้เขา
ความพลั้งพลาดที่เรากระทำ เราอภัยให้ตัวเอง
หากถึงความสามารถที่จะอภัยได้อย่างสมบูรณ์ไม่หลงเหลืออารมณ์ใดติดค้าง ย่อมเป็นการปลดอารมณ์หมองหม่นนั้นทิ้งไป โดยไม่ใช่การกลบฝัง ปิดบัง หลีกหนี
เป็นแค่การปล่อยให้เรื่องราวเหล่านั้น เจือจางไปตามวิถีแห่งกฎอนิจจัง เกิดขึ้นแล้วดับไป
เพียงแต่ สติสัมปชัญญะ และสมาธิ ต้องฝึกมาถึงจุดที่รับแรงสะเทือนจากเรื่องราวต่างๆ ได้โดยไม่ก่อความคิดต่างๆ ขึ้นมาปกป้องตัวเอง
แค่ปล่อยให้เป็นไป