| ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
|---|
สําหรับประชาชนทั่วไป
เทศกาลปีใหม่คือช่วงวันหยุดเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง
แต่สำหรับรัฐบาล และ คสช.
ปีใหม่นี้อาจจะมีความหมายแตกต่างออกไป
ทั้งในเรื่องส่วนรวมและส่วนตัว
เฉพาะสำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
จนถึงวันนี้กระแส “นาฬิกา” ก็ยังไม่จางห่างหายไปจากความสนใจของสังคม
โดยเฉพาะ “นักขุด” ในโลกโซเชียล อย่างเพจดัง CSI LA
27 ธันวาคม เพจดังกล่าว เผยแพร่ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กว่า พบภาพนาฬิการาคาแพงของ พล.อ.ประวิตร สันนิษฐานว่าเป็นเรือนที่ 11
โดยระบุว่า
เรือนที่ 11 เป็น Rolex Cosmograph Daytona สองสี ที่มาจากทองคำเหลือง 18K กับสเตนเลส สตีล ราคาอยู่ 554,000 บาท
ที่ผ่านมาทางเพจได้รวบรวมภาพ พล.อ.ประวิตรสวมใส่นาฬิกาที่ไม่ซ้ำกัน ว่าเป็นรุ่นและยี่ห้ออะไร ดังนี้
เรือนที่ 1 Richard Mille รุ่น RM29 สวมใส่ในวันร่วมถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่
เรือนที่ 2 Richard Mille รุ่น RM30 มูลค่า 4 ล้านบาท
เรือนที่ 3 Rolex Cosmograph Daytona Ice Blue Dial Platinum Mens Watch รหัส 116506 ราคาขายปลีกอยู่ 1.9-2.4 ล้านบาท เเต่ถ้าซื้อจาก Amazon.com ราคาจะอยู่ที่ 1.9 ล้านบาท
เรือนที่ 4 Patek Philippe รุ่น 5960/1A ราคาตลาดอยู่ที่ 1.5-1.66 ล้านบาท
เรือนที่ 5 AUDEMARS PIGUET Royal Oak Chronograph Automatic Blue Dial ราคาตลาดอยู่ $24,300 หรือ 8 เเสนบาท
เรือนที่ 6 Rolex Yacht-Master Automatic Black Dial 18kt Everose Gold Black Rubber Strap Mens Watch รุ่น 116655BKSRS ราคาตลาดอยู่ที่ 8 เเสนบาท หากซื้อออนไลน์ผ่าน amazon.com จะหาซื้อได้เรือนละ 7 เเสนกว่าๆ
เรือนที่ 7 นาฬิกาทองคำ 18k ของ Patek Philippe รุ่น 3970 ราคาตลาดอยู่ที่ 3.6 ล้านบาท
เรือนที่ 8 นาฬิกา Patek Philippe แพลทินัม รุ่น Annual Calendar Chronograph รหัส 5960P มูลค่า 3.12 ล้านบาท หรือ $95,400
เรือนที่ 9 Rolex Pro Hunter Deepsea Green เรือนนี้ราคาประมาณ 8 เเสนบาท Pro Hunter เป็นบริษัทที่ตกเเต่ง Rolex เหมือนกับบริษัท AMG หรือ Barbus ที่แต่งเครื่องยนต์ให้กับรถเบนซ์
ปกติ Pro Hunter จะทำนาฬิการุ่นนี้ สองสีคือ สีน้ำเงินกับสีเขียว เเต่นาฬิกาที่เห็นเป็น 2 สี น่าจะเป็นรุ่นที่สั่งทำพิเศษ
เรือนที่ 10 Richard Mille หน้าปัดสีน้ำเงินต่างกับอีกตัวที่เป็นข่าวซึ่งมีหน้าปัดสีดำ คิดว่าน่าจะเป็นรุ่น RM010 ที่ทำจากทองคำขาว
ราคาตลาดเริ่มต้นที่ 3.26 ล้านบาท
ข้ามมาที่ประเด็นการเมืองภาพรวม
27 ธันวาคม เช่นกัน
แกนนำพรรคเพื่อไทยร่วมกันแถลงข่าวคัดค้านการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 53/2560 วันที่ 22 ธันวาคม 2560
ที่ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม ดังนี้
1.การกำหนดให้สมาชิกพรรคการเมือง ถ้าประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคต่อไป ต้องยื่นหนังสือยืนยันไปยังหัวหน้าพรรคและแสดงหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
เท่ากับว่าเป็นการลบล้างสมาชิกพรรค
การเมืองที่มีอยู่ทั้งหมด
2.การกำหนดให้การจัดประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อแก้ไขข้อบังคับ การเลือกกรรมการบริหาร การจัดตั้งสาขาพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด ต้องทำภายใน 180 วัน นับแต่มีการยกเลิกประกาศ คสช. ฉบับที่ 57/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 นั้น
หากยกเลิกใกล้วันเลือกตั้ง พรรคก็ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ทัน และอาจไม่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้
3.กำหนดให้ดำเนินการต่างๆ จะต้องขออนุญาต คสช.ก่อน และหากดำเนินการไม่ครบถ้วน ห้ามมิให้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
เท่ากับเป็นการล็อกพรรคการเมืองไว้สองชั้น
4.กำหนดให้พรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่สามารถดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมือง จัดประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริหาร จัดทำข้อบังคับได้
ยิ่งถือเป็นความไม่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย
พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การออกคำสั่งดังกล่าว ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ขาดความชอบธรรม ละเมิดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรค
เปิดโอกาสให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มได้จัดตั้งพรรค
เพื่อปูทางให้ คสช. ได้สืบทอดอำนาจต่อไป
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้
รวมไปถึงการแสดงออกอื่นๆ
ย่อมไม่สามารถทำให้รัฐบาลหรือ คสช. ล้มครืนลงไปได้ต่อหน้าต่อตา
แต่ด้านหนึ่ง การสั่งสมความไม่พอใจเช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการทำงานต่อไปในอนาคตของรัฐบาลและ คสช.
ด้านหนึ่ง หากเปรียบเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
ปฏิกิริยาที่มีต่อ “ด้านลบ” ของรัฐบาลและ คสช. มีแนวโน้มเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น
ไม่ว่าจะจากฝ่ายตรงข้าม
หรือจากผู้เคยเป็นฝ่ายเดียวกัน
