อาชีพบริการของผู้หญิง ควรจะเป็นกิจจะลักษณะมากกว่านี้ และควรมีสัญญาที่มีลักษณะคล้ายการสมรส : โดย กนกศักดิ์ พ่วงลาภ

อาชีพบริการของผู้หญิงกำลังก้าวมาสู่เขตแดนความคิดที่จะยอมรับความเป็นจริงกันหรือยัง จะจัดระบบกันอย่างถูกต้องเป็นธรรม และถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่สังคมจะต้องจัดวางอาชีพนี้ให้มีที่ยืนอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จะให้ยืนหรือไม่ให้ยืน ต้องให้ชัดเจน

ในสังคมโลกของเรานี้มีสถานการณ์ที่แตกต่างกันอยู่ในแต่ละประเทศ แต่อาจคิดคร่าวๆ ว่าน่าจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่อยู่ 4 ประเภท

ประเภทแรก ยอมรับอาชีพบริการของหญิงอย่างถูกกฎหมาย

ประเภทที่สอง ไม่ยอมรับอาชีพบริการของหญิงและถือว่าผิดกฎหมาย

Advertisement

ประเภทที่สาม ไม่ห้ามอาชีพบริการของหญิงแต่ห้ามมีกิจการประเภทซ่องที่เอาผู้หญิงมารวมกันอยู่มากๆ เพื่อการนี้

ประเภทที่สี่ ไร้ข้อมูลและไร้การติดตามวิเคราะห์หรือแก้ปัญหา หรืออาจรวมทั้งสถานการณ์ที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างหนึ่งแต่บังคับใช้อีกอย่างหนึ่ง หรือสถานการณ์ไร้ระเบียบ (สถานการณ์พื้นที่สีเทา)

ความจริงสังคมโลกเราซับซ้อนกว่านี้ อาจมีสถานการณ์ประเภทอื่นๆ อีก แต่ก็นับเป็นส่วนน้อยที่จะขอไม่กล่าวถึง เพราะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย

Advertisement

ในประเทศไทย การจัดการเกี่ยวกับอาชีพบริการของผู้หญิงดูไปแล้วเป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการจัดการให้มีตำแหน่งแห่งที่ หรือมีที่ยืนในสังคม ขาดการคุ้มครองสิทธิ ถูกกระทำทารุณ และถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมต่างๆ เนื่องจากเป็นอาชีพที่ไม่ถูกกฎหมายดังนั้นคนเหล่านี้ไม่สามารถอ้างสิทธิใดๆ ในเรื่องเวลาการทำงาน สวัสดิการ ค่าแรง ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ คงเหลือสิทธิตามกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่งในบางเรื่องเท่านั้นที่เขายังมีสิทธิอยู่ในฐานะมนุษย์และพลเมืองของสังคมแต่พวกเขามักจะไม่รู้ หรือไม่สามารถบังคับตามสิทธิได้โดยสะดวกเพราะเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนคนเหล่านี้เหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากรัฐ แต่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บางคนอาจจะไม่รู้ว่าในสมัยอยุธยาอาชีพนี้เคยมีกฎหมายรองรับอยู่ เป็นกิจการที่รัฐให้ตั้งสถานประกอบการได้ รัฐเก็บภาษีกับกิจการเหล่านี้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ สถานการณ์แบบนี้อาจคล้ายกับในเกาหลียุคโบราณ และคล้ายๆ กับยุคโบราณของอีกหลายๆ ประเทศ ทำไมกฎหมายยุคโบราณของโลกเรานี้ตรงไปตรงมากว่ากฎหมายยุคปัจจุบันเป็นเรื่องที่ตอบยาก แต่ก็น่าจะรื้อกฎหมายโบราณของประเทศต่างๆ มาเปรียบเทียบดู อาจจะได้ความรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับการจัดการก็ได้

บางทีอาจเป็นทางออกของสังคมไทยในเรื่องนี้

ความจริงอาชีพบริการของหญิงในประเทศไทยในปัจจุบันน่าจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
-อาชีพบริการที่ให้ความสำคัญ เช่น ร้องเพลง เต้นรำ เป็นเพื่อนร่วมรับประทานอาหาร แต่ไม่ล่วงล้ำถึงเนื้อตัวร่างกายทางประเวณี อาชีพอย่างนี้ ในปัจจุบันก็มีแล้ว แต่กฎหมายยังไม่รับรู้ หรือแสร้งทำเป็นไม่รับรู้จึงไม่มีการคุ้มครองสวัสดิภาพและเปิดช่องโหว่ให้มีส่วย
-อาชีพบริการของหญิงที่มีการบริการถึงเนื้อตัวร่างกาย ที่ในปัจจุบันยังผิดกฎหมายอยู่

การที่กฎหมายไม่รับรอง ทำให้เกิดกรณีที่ผู้หญิงถูกทำร้ายร่างกายในขณะทำงาน ถูกล่วงละเมิดเกินกว่าการทำงานในลักษณะปกติ การกระทำทารุณโหดร้าย การโกงค่าแรง การบังคับให้รับแขกโดยไม่สมัครใจ การที่ต้องจำยอมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค การทำงานเกินกำลัง ความเสี่ยงในการทำงานที่อาจถูกล่อลวง ที่ล้วนเป็นความเสี่ยงที่สูงสำหรับคุณค่าความเป็นมนุษย์ ทั้งสิ้น

อาชีพในสองลักษณะนี้ ในกฎหมายไทยนั้น กฎหมายและรัฐแทบจะไม่ได้คุ้มครองผู้หญิงหรือผู้ให้บริการเลย ซึ่งผิดกับในต่างประเทศบางประเทศที่วางระบบได้ดีกว่า อย่างน้อยในเรื่องความชัดเจนทางโครงสร้างทางสังคม ซึ่งเราจะไม่พูดกันเรื่องผิดหรือถูก เราจะพูดกันในแง่ระบบกฎหมายที่เกิดขึ้นมีอยู่จริงในโลกนี้ และการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของอาชีพนี้ตามสภาพที่มีอยู่จริง เช่น ในเยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ การประกอบอาชีพบริการของผู้หญิงเป็นอาชีพที่รัฐเรียกเก็บภาษีเท่ากับมีการรับรองรวมทั้งสถานประกอบการก็ต้องเสียภาษีอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพียงแต่กฎหมายกำหนดผู้ให้บริการต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และในสหรัฐอเมริกาบางรัฐกฎหมายไม่ห้าม ห้ามเพียงแต่ไม่ให้เดินเชิญชวนเตร็ดเตร่ตามสถานที่เปิดเผยอย่างเช่น ตามถนน และตามจริงก็เรียกได้ว่าประเทศที่เปิดเผยสถานภาพของอาชีพนี้มีน้อยกว่าประเทศที่ไม่เปิด ส่วนประเทศที่ไม่เปิดเผยหรือไม่รับรองสถานภาพนั้นก็มิใช่ว่าไม่มีอาชีพนี้ เพียงแต่กฎหมายไม่รับรอง หรือไม่บังคับเคร่งครัด หรือละเว้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างที่ควรจะใช้อย่างมีประสิทธิภาพ บางประเทศให้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแต่มีค่าปรับจำนวนน้อย

อย่างน้อย ประเทศที่กล้าเปิดเผย ก็ทำให้ผู้หญิงอาชีพนี้มีความเสี่ยงในการทำงานและเสี่ยงชีวิตน้อยลง

ความจริง สถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบัน อาชีพบริการของหญิงที่ให้ความสำราญแบบไม่ล่วงล้ำถึงเนื้อตัวร่างกายนี้ อาจจะยังอยู่ในขอบเขตของกฎหมายไทยปัจจุบันที่ยอมรับให้มีอาชีพนี้ได้ เมื่อยอมรับให้เป็นอาชีพได้ รัฐก็เก็บภาษีได้ ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นแรงงานประเภทหนึ่งที่รัฐให้การคุ้มครองได้ตามกฎหมายปัจจุบัน แต่อาชีพบริการที่ล่วงล้ำถึงเนื้อตัวร่างกายทางประเวณีนี่สิที่ยังเป็นปัญหาใหญ่กว่าว่ารัฐจะจัดการอย่างไร ในเมื่อในทางกฎหมายอาญายังห้ามอยู่ เพราะรัฐยอมรับประเวณีที่ถูกกฎหมายอันเกิดจากการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ในบางประเทศยอมรับให้มีความสัมพันธ์จากการบริการในอาชีพพิเศษนี้ได้โดยมีสถานที่ที่รัฐรับรองว่าถูกกฎหมาย ผู้ที่ใช้บริการจะต้องเข้าไปในห้องคนเดียวเพื่อใช้บริการ ในห้องนั้นจะติดสัญญาณเตือนภัยเอาไว้ในลักษณะเป็นปุ่มกดเวลามีเหตุฉุกเฉิน เช่น มีการทำร้ายร่างกาย หรือกระทำ
ทารุณอื่นๆ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะสามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันที เป็นการประกันความปลอดภัยทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ นั่นคือรัฐยอมรับแล้วว่ามีสถานที่นี้อยู่ในสังคมแต่โซนนิ่งจัดให้อยู่ในขอบเขตเฉพาะและที่กติกาทางกฎหมายที่ชัดเจน กฎหมายที่กำหนดในเรื่องนี้ยังมีอีกมากซึ่งสามารถสังเกตได้จากกฎหมายของรัฐเนวาดา กฎหมายของสวิตเซอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์ และความจริงมีอีกประมาณ 70 กว่าประเทศในโลกที่ผ่อนคลายเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้กล่าวว่าดีอย่างไร เป็นในลักษณะดีเลวคละเคล้ากันไปแต่มีความชัดเจนทางโครงสร้างและตำแหน่งแห่งที่ทางสังคม มิใช่กิจการใต้ดินที่รัฐปฏิเสธไม่รับรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่สนใจ ไม่แคร์

ในอีกมุมมองหนึ่ง คือ เรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายแพ่ง

ในทางกฎหมายแพ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าเป็นแดนแห่งกฎหมายที่ไม่มีใครกล่าวถึงมากนัก ทั้งๆ ที่ตามทฤษฎีแล้ว สัญญาที่มีลักษณะที่คล้ายกับการสมรส น่าจะเกิดขึ้นได้ ถ้าชายหญิงคู่สัญญายังไม่มีคู่สมรสมาก่อน แต่อาจมีข้อติงประการเดียวว่าจะขัดต่อศีลธรรมหรือไม่

การมีสัญญาที่มีลักษณะคล้ายกับการสมรส เป็นคนละเรื่องกับการสมรส คนที่ดูนวนิยายต่างๆ มากอาจจะคุ้นกับแนวคิดสัญญาที่คล้ายกับการสมรส ที่นางเอกต้องจำยอมแต่งงานกับพระเอกเพราะพินัยกรรมหรืออะไรสักอย่าง ต้องยอมทนทุกข์ทรมานต่างๆ นานา จนรักกันในที่สุด แต่สัญญาที่มีลักษณะคล้ายกับการสมรส ที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก็ไม่เชิง เป็นแนวคิดผ่อนคลายความแข็งกระด้างของกฎหมายแพ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เท่านั้นเอง แนวคิดนี้ยังไม่มีใครเคยเสนอเพราะไม่สามารถทำได้ในกฎหมายไทยปัจจุบัน แต่มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อคุ้มครองผู้หญิงเหล่านี้ด้วยวิธีการใหม่ที่เป็นธรรม เพราะรัฐอาจจะไม่สามารถปฏิเสธความสัมพันธ์แบบนี้ได้ เนื่องจากแม้จะมีกฎหมายห้ามก็ห้ามไม่ค่อยจะได้ อาจจะต้องใช้วิธีการควบคุมแบบทางสายกลาง

สัญญาทางแพ่งที่มีลักษณะคล้ายการสมรส ก็น่าจะมีการรับรองโดยรัฐ โดยการออกแบบสัญญาที่มีเนื้อหา ให้มีความผูกพันระหว่างหญิงชายในลักษณะคล้ายการสมรสในระยะเวลาที่แน่นอนกำหนดล่วงหน้าในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ผูกพันในระยะเวลา สองเดือน สามเดือน หกเดือน หนึ่งปี หรือสองปี เมื่อครบเวลาตามสัญญาก็ให้สิ้นสุดความผูกพันตามสัญญาทันที ในสัญญานั้นมีการกำหนดรายได้ให้แก่หญิงเป็นค่าเลี้ยงดูเป็นจำนวนเงินแน่นอนเป็นรายวันหรือรายเดือนล่วงหน้า หรืออาจมีข้อตกลงตอบแทนเป็นทรัพย์สิน สวัสดิการอย่างอื่น เพื่อให้มีการบังคับกันได้ตามกฎหมาย แต่ต้องให้อยู่ในกรอบของความสงบเรียบร้อยเท่าที่พอจะทำได้ อย่างนี้ผู้หญิงจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายมากขึ้นเป็นการเปิดช่องทางให้เกิดโครงสร้างทางสังคมที่ตรงไปตรงมา

ผู้เขียนไม่ได้คิดออกแบบรูปแบบสัญญาแบบใหม่สำหรับผู้หญิงอาชีพบริการ แต่ลักษณะของสัญญาที่มีลักษณะคล้ายการสมรส (ถ้าหากมีได้ในอนาคต) จะเป็นประโยชน์กับผู้หญิงในกลุ่มที่กว้างกว่านั้นด้วย

ย้อนกลับมาเรื่องทางกฎหมายอาญากันอีกสักหน่อย หากแนวทางประนีประนอมเกิดมีขึ้นได้เหมือนในประเทศแถบยุโรปและในสหรัฐอเมริกาบางรัฐนั้น อาชีพบริการของผู้หญิงจะมีการออกใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพถึงจะประกอบอาชีพได้ มีการเสียภาษีและมีสิทธิเสรีภาพ สวัสดิการเหมือนแรงงานทั่วไป คือ ผู้บริการสามารถเลือกลูกค้าได้ สามารถปฏิเสธจะไม่บริการให้กับคนที่ตนเองไม่พอใจได้การบริการขึ้นอยู่กับความสมัครใจหรือยินยอมทั้งสองฝ่าย แต่ที่ควรละเว้น คือ ห้ามตั้งเป็นองค์กร กลุ่มคนบริษัท ห้างร้านใดๆ ที่เป็นการรวมผู้หญิงแต่ละคนไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ห้ามมีสิ่งที่เรียกว่า ซ่อง พูดตรงๆ คือแค่ให้มีการบริการโดยแลกเปลี่ยนกับค่าแรงได้ แต่ไม่ให้มีสถานที่ที่ใช้ในการนั้นในลักษณะองค์กร ผู้หญิงต้องไม่ถูกควบคุมโดยสังกัดใดๆ และมีเกณฑ์ห้ามเรื่องอายุของผู้ประกอบอาชีพ ไม่ต่ำกว่า 18 ปี นั่นคือบทสรุปเท่าที่พบในประเทศต่างๆ ซึ่งสังคมของเขาก็เรียบร้อยดี และตัดปัญหาเรื่องเหยื่อจากการค้ามนุษย์ และอาชญากรรมสืบเนื่อง เช่น
ยาเสพติด เพราะการขึ้นทะเบียนอาชีพนี้เป็นการทำให้รัฐเข้ามาควบคุมได้ ปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพล และส่วย การกระทำทารุณกรรมต่อเด็กก็หมดไป เพราะองค์กรอาชญากรรมจะหนีหายออกไปจากระบบ

ที่กล่าวนี้ สำคัญที่สุด คือ จะแก้ปัญหาเหยื่อการค้ามนุษย์ให้ลดลงไปได้มาก และทำให้เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ การเป็นรัฐนั้น จะต้องไม่ทิ้งใครอยู่ข้างหลัง จะต้องไม่มีใครเป็นโครงกระดูกที่ซุกอยู่ในตู้ จะต้องไม่ทำเสมือนว่าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่มีค่า หรือมองไม่เห็น

กนกศักดิ์ พ่วงลาภ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image