กองปราบรวบแก๊งอุ้มรีดทรัพย์ แฉแผนร้าย ลวงเหยื่อเจรจาซื้อที่ดิน จับตัว ไถเกลี้ยง

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ต่อเนื่องวันที่ 18 มีนาคม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม( ผบก.ป. ) พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี รอง ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.วิญญู แจ่มใส พ.ต.ท.นฤทธิ์ ผูกจิตร พ.ต.ต.เอกพล ปัญจมานนท์ สว.กก.2 บก.ป.นำกำลัง กก.2 บก.ป. จับกุม นายกำปั่น ทอนเกาะ อายุ 51 ปี อยู่ที่ 333 หมู่ที่ 1 ต.บรบือ อ.บรบือ จ .มหาสารคาม นายกฤษฎา หรือต้อม ประวิเศษ อายุ 47 ปี อยู่ที่ 4/6 ซ.ราชพฤกษ์ 19 แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ และ นายสมชาย หรือปิ๊ก มีสัตย์ อายุ 37 ปี อยู่ที่ 24 หมู่ที่ 12 แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. ความผิดฐาน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า,ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ,ร่วมกันมี ธนบัตรรัฐบาลไทย ไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอม และร่วมกันมีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”

นายสมชาย รับว่า “มียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 ไอซ์ ไว้ในครอบครองผิดกฎหมาย” ตามของกลางที่ตรวจค้นพบในขณะถูกจับกุมภายในรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติสฯ นายกำปั่น รับว่า “มี ธนบัตรรัฐบาลไทย ไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอม” และนายกฤษฎา รับว่า “มียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 ไอซ์ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และมียาบ้า ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” ตามของกลางที่ตรวจค้นพบในขณะตรวจค้นภายในห้องพักเลขที่ 16/13033 ตึก 130 หมู่บ้านเอื้ออาทร มิตซูฯ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

รายงานแจ้งว่าชุดจับกุมได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ให้ร่วมสืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้าย สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 10.30 น. มีกลุ่มคนร้าย 4 คน ร่วมกันจับตัวผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ร่วมกันเรียกเงินเพื่อเป็นค่าไถ่ แต่ผู้เสียหายทั้ง 2 คน สามารถหลบหนีมาได้ และมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.วังน้อย จว.พระนครศรีอยุธยา จากการสืบสวนทราบว่า หนึ่งในกลุ่มคนร้าย ใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีเทา ติดแผ่นป้ายหมายเลขทะเบียน ทล 7785 กรุงเทพมหานคร เป็นยานพาหนะ และหลบหนีไปอยู่ที่ร่วมกมลอพาร์ตเมนท์ ซอยลาดปลาเค้า 53 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กทม. จึงเดินทางไปตรจสอบพบรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวกำลังออกจากอพาร์ตเมนต์ ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ขับรถติดตามไป จนติดตามได้ทันที่บริเวณริมถนนภายในหมู่บ้านเอื้ออาทร มิตซู ตำรวจชุดจึงแสดงตัวเรียกให้หยุดรถเพื่อขอตรวจค้น พบ ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 0.35 กรัม อยู่ในกระเป๋าเงินของนายสมชาย พบธนบัตรรัฐบาลไทยปลอม ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 50 ฉบับ อยู่ในช่องเก็บของด้านหน้าข้างซ้ายภายในรถ และพบวิทยุสื่อสาร อยู่ในรถยนต์ของกลาง ต่อมานายกำปั่น รับว่ายังมียาเสพติดและธนบัตรรัฐบาลไทยปลอม ซุกซ่อนอยู่ที่ห้องพักเลขที่ 16/13033 ตึก 130 หมู่บ้านเอื้ออาทร มิตซู ซึ่งเป็นห้องพักของนายกำปั่น พบยาบ้า จำนวน 2 เม็ด ยาไอซ์ น้ำหนักประมาณ 0.4 กรัม และธนบัตรรัฐบาลไทยปลอม จำนวน 560 ฉบับจึงนำตัวส่ง พงส.สภ.วังน้อย ดำเนินคดี

Advertisement

สอบสวน ผู้ต้องหารับว่า นายกำปั่นเป็นผู้ชักชวนให้มาร่วมกันอุ้มผู้เสียหาย เพื่อเรียกค่าไถ่ โดย เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมามีการนัดหมายกับผู้เสียหายเพื่อติดต่อซื้อขายที่ดินกันที่จังหวัดชลบุรี โดยนายกำปั่น มีการเช่าบ้านไว้ก่อนในอำเภอบ้านบึง จ.ชลบุรี เพื่อทำทีเป็นสำนักงานหลอกให้ผู้เสียหายมาติดต่อซื้อขายที่ดิน จากนั้นนายกำปั่นและพวกรวมตัวกันเดินทางมาโดยรถแท็กซี่เมื่อมาถึงบ้านที่ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี นายกำปั่น สั่งให้ทั้งหมดใส่หน้ากากเพื่อปิดบังใบหน้า โดยนายกฤษฎา รออยู่บริเวณชั้น 1 ถ้าผู้เสียหายมาแล้วมีคนขับรถมาด้วยให้จับตัวคนขับรถของผู้เสียหายไว้ด้วย และเมื่อเจรจากับผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายเดินออกมาให้ควบคุมผู้เสียหายด้วย มี น.ส.จิตรัตดา เห็มสีดา ทำหน้าที่เป็นนกต่อคอยโทรศัพท์นัดแนะเจรจาต่อรองเรื่องซื้อขายที่ดินกับผู้เสียหายทางโทรศัพท์ นายสมชาย ทำหน้าที่เจรจาต่อรองเรื่องเงินค่าไถ่และควบคุมผู้เสียหายร่วมกันกับนายกำปั่น

เมื่อตกลงตามแผนแล้วผู้เสียหายหลงเชื่อเดินทางมาถึงบ้านหลังดังกล่าว ก็ถูกเชิญไปเจรจากันที่บริเวณชั้น 2 จากนั้นนายกฤษฎา ควบคุมผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธปืนสีเงิน จ่อบริเวณศีรษะ หลังจากนั้นเมื่อผู้เสียหาย ลงมาจากชั้น 2 ก็ได้ร่วมกันควบคุมตัว เมื่อควบคุมตัว 2 คนได้แล้วก็ให้นายสมชาย และนายกำปั่น เจรจาเรื่องค่าไถ่ หลังจากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาพาผู้เสียหายที่ 1และผู้เสียหายที่ 2 ขึ้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูของผู้เสียหาย ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มจำนวน 100,000 บาท และเอาเงินสด อีก ประมาณ 30,000 บาท และทรัพย์สินมีค่าอื่น อาทิ แหวนทอง สร้อยคอทองคำ โทรศัพท์มือถือ หลังจากที่กดเงินเสร็จแล้วผู้ต้องหาได้พาผู้เสียหายขับรถไปทางวังน้อยเมื่อถึงบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. ผู้เสียหายขอเข้าห้องน้ำกลุ่มผู้ต้องหาจึงจอดแวะพัก โดยนายกำปั่นพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเข้าห้องน้ำ และในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 และนายกำปั่นกำลังเดินกลับมาที่รถยนต์ ผู้เสียหายที่ 2 สบโอกาสเปิดประตูวิ่งหลบหนีออกไปได้ ผู้เสียหายที่ 1 จึงสะบัดนายกำปั่นและวิ่งหลบหนีเข้าไปภายในร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ซึ่งไปพบนายกฤษฎา พยายามจะจับตัวผู้เสียหายที่ 1ไว้แต่ไม่สำเร็จ ผู้เสียหายที่ 1จึงร้องให้คนช่วย เมื่อเห็นดังนั้นกลุ่มผู้ต้องหาจึงขับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูของผู้เสียหายหลบหนีไปและจอดทิ้งไว้ห่าง จากปั๊มน้ำมันดังกล่าวราว 1-2 กิโลเมตร หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พนักงานสอบสวน สภ.วังน้อย จนเป็นที่มาของการจับกุมดังกล่าวข้างต้น

รายงานระบุว่า จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายกำปั่น หนึ่งในผู้ต้องหาเคยประกอบอาชีพเป็นช่างทำทอง และขับรถแท็กซี่มาก่อน รวมถึงยังเคยเป็นอาสาสมัครช่วยงานตำรวจของ สน.หนึ่งในพื้นที่ย่านฝั่งธนฯ กระทั่งมาถูกจับกุมในคดีดังกล่าว นอกจากนี้จากการสอบสอบสวนผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของทั้งหมด เนื่องจากแนวทางสืบสวนพบว่าน่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ และผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายราย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล

Advertisement

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image