รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือไอเฟค ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ ก.ล.ต. เพื่อขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาให้ไอเฟคกลับมาดำเนินธุรกิจปกติและสามารถชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมได้โดยเร็ว
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ปัญหาสำคัญของไอเฟคคือ ไม่มีคณะกรรมการบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการบริษัทได้ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องทำโดยการจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกคณะกรรมการชุดใหม่ แต่ที่ไอเฟคไม่สามารถจัดประชุมผู้ถือหุ้นได้ เพราะมีประเด็นข้อกฎหมายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต้องวินิจฉัยให้ชัดเจนว่า กรรมการที่มีอยู่ปัจจุบันสามารถที่จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งก.ล.ต. เห็นว่า การแก้ไขปัญหาของไอเฟค จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วินิจฉัยประเด็นปัญหาข้อกฎหมายและเสนอแนะแนวทางเพื่อเอื้อให้เกิดการประชุมผู้ถือหุ้นโดยเร็ว
“เนื่องจากไอเฟคเป็นบริษัทมหาชนจำกัด การจัดประชุมผู้ถือหุ้นต้องดำเนินการภายใต้ขั้นตอนและวิธีการตามพ.ร.บ.บริษัทมหาชนฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดังนั้นประเด็นข้อกฎหมายข้างต้นจึงต้องให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นผู้วินิจฉัย” นายรพีกล่าว
นายรพีกล่าวว่า ที่ผ่านมา ก.ล.ต.รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นกู้มาโดยตลอด และไม่ได้นิ่งนอนใจในการหาความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าว จึงมีหนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจำนวนรวม 5 ฉบับ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 รวมทั้งได้ไปหารือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อขอให้วินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน รวมทั้งได้ประสานงานติดต่อกับกรรมการและผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นและผู้บริหารบริษัท จึงทำให้ไม่สามารถหาข้อยุติในทางปฏิบัติได้และต้องอาศัยคำวินิจฉัยข้อกฎหมายตามพ.ร.บ.บริษัทมหาชนฯ ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งกฎหมายดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของก.ล.ต. ทั้งนี้ก.ล.ต. ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการประสานงานกับกรรมการ ผู้ถือหุ้นไอเฟคและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมโดยเร็วต่อไป
