ผู้เขียน | นายอุตสาหะ |
---|
ยังคงไม่จบง่ายๆ กรณีของ “ครูวิภา” กับการถูกตามทวงหนี้ของกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ในฐานะคนค้ำประกันให้กับเหล่าลูกศิษย์ตาดำๆ ในวันนั้น ก่อนที่ศิษย์จำนวนหนึ่งในวันนี้ จะละเลยชดใช้หนี้ที่นำมาเป็นทุนเรียน
ตามข่าวหนี้ที่ “ชักดาบ” ถูกมาตรการทางโซเชียลเล่นงานเปิดเผยรายชื่อและตัวตนออกมา หลายคนเหมือน “อับอาย” เป็นการอับอายที่ถูกแฉ มากกว่าจะมาแสดงความรู้สึกว่า “สำนึก” เพราะ “สำนึก” ควรมีมาตั้งแต่ต้น ตามที่สังคมรับรู้ ศิษย์ “ชักดาบ” ที่เหลืออยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวน 60 คนที่มีการค้ำประกัน ต่างทยอยรีบไปปิดหนี้ที่กู้ยืมมาได้อย่างทันทีทันควัน รู้ได้ทุกขั้นตอนว่า หนี้ที่มีอยู่จะไปปิดยังไง
บางคนยังกล้าบอกนักข่าวว่า ทำไมครูวิภาต้องมาเดือดร้อน แทนที่ กยศ.จะมาไล่จัดการกับพวกตนมากกว่าในฐานะคนกู้ บางคนก็อ้างไม่เคยคิดว่า ครูวิภาจะเดือดร้อนขนาดนี้ ทำไมค้ำประกันนักเรียนที่กู้ยืมถึง 60 คน
ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลเหมือนเอาสีข้างเข้าถู ทุกคนย่อมรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว “เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย” เมื่อจ่ายแล้ว วิบากกรรมคงไม่ไปถึง “ครูวิภา” มาถึงทุกวันนี้
ตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ฉบับปรับปรุงใหม่ เดิมเป็นฉบับ พ.ศ.2541 มีการตราไว้ทั้งสิ้น 64 มาตรา เขียนไว้ในหมวดที่ 5 การชำระเงินคืนกองทุน (กยศ.) โดยมาตรา 44 บอกไว้ว่า เมื่อผู้กู้ยืมเงินสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้ยืมตามสัญญาที่ทางกองทุนแจ้งไปแต่แรกแล้ว
มาตรา 49 ระบุถึงหนี้ว่า “กรณีที่ผู้กู้ยืมเงินถึงแก่ความตาย ให้สัญญากู้ยืมเงิน หน้าที่ และความรับผิดที่ผู้กู้ยืมเงินมีต่อกองทุนเป็นอันระงับไป”
“หรือในกรณีที่ผู้กู้ยืมเงินพิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบการงานได้ ให้ผู้จัดการมีอํานาจพิจารณาสั่งระงับการเรียกให้ชําระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินก็ได้ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกําหนด”
ในกรณีที่ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตาย การดําเนินการเกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ำประกันให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกําหนด”
ตามที่มาตรา 49 เมื่อคนกู้ยืมมีอันจบชีวิต สัญญาการกู้ยืมเงิน กยศ.เป็นอันจบไปสำหรับคนกู้ แต่หนี้ก้อนดังกล่าวยังคงหลอกหลอนคนข้างหลังอยู่ ตามรายละเอียดเว็บไซด์ของกยศ. ที่บอกว่า “กรณีที่มีเงินโอนให้กับผู้กู้ยืมหลังจากวันที่ผู้กู้ยืมเสียชีวิต ทายาท/ผู้ปกครอง/ผู้ค้ำประกัน มีหน้าที่ที่จะต้องส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่กองทุนฯ ต่อไป”
คนค้ำเงินกู้อย่าง “ครูวิภา” ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า การค้ำประกันให้ใครก็ตาม ย่อมมีหลักของ “ความเสี่ยง” เต็มไปหมด จนกว่าหนี้นั้นจะถูกชำระโดยผู้กู้จนหมดสิ้น แต่การที่ “ครูวิภา” กล้าค้ำให้ในวินาทีนั้น เป็นเรื่องของการใช้หัวใจของความเป็นครูต้องการให้เด็กได้มีความรู้ต่อไป เชื่อโดยสนิทใจไม่ลังเลว่า เงินที่กู้มาเมื่อเขาและเธอเหล่านี้เติบโตมา มีการงานทำ หรือพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กสามารถจะช่วยกันชำระหนี้ได้ต่อไป
เรื่องของ “ครูวิภา” เป็นเพียงแค่ซีนหนึ่งของหนังชีวิต ข้อมูลของ กยศ. ล่าสุดจนถึงเดือนเมษายน 2561 มีผู้ใช้บริการกู้ยืมกับกองทุนที่ตัวเลขกลมๆ 5.4 ล้านราย รวมกระทรวงการคลังที่ปล่อยเงินให้กยศ.ไปปล่อยกู้ส่วนนี้ทั้งสิ้น 5.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ผู้กู้ที่อยู่ในช่วงกําลังศึกษา/อยู่ในช่วงปลอดหนี้ 1 ล้านราย / ผู้กู้ที่ชําระหนี้เสร็จสิ้น 8 แสนราย / ผู้กู้ที่เสียชีวิต/ทุพพลภาพ 5 หมื่นราย / ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการชําระหนี้ 3.5 ล้านราย คิดเป็นเงินให้กู้ยืม 4 แสนล้านบาท
พบว่าผู้ที่ทำสัญญากู้ยืมเงินไปเรียน เป็นกลุ่มผิดชำระหนี้ 2.1 ล้านราย คิดเฉพาะกลุ่มที่ถูกดำเนินคดีประมาณ 1 ล้านราย มีเงินไปจมอยู่ 4.8 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น จะมีคนค้ำอีกมากมายที่ตกอยู่ในภาวะเดียวกับ “ครูวิภา” จึงถือเป็นความโชคดีของเด็กๆ ที่ได้เจอ “ครูวิภา” และครูอีกหลายคน แต่จะเป็นความโชคร้ายของครูหรือไม่ คงไม่ต้องบอก วินาทีนี้ต้องให้กำลังใจครูให้มากที่สุด ให้มีที่ยืนในสังคม ให้เป็นที่ยอมรับถึงการทำหน้าที่อย่างสมศักดิ์ศรี
ขอเพียงศิษย์ที่ถูกเฝ้าพร่ำสอน ครูต้องปากเปียกปากแฉะ ระดมทั้งสมองและจิตวิญญาณของความเป็นครู เพื่อให้ทุกคนมีอนาคตอย่าได้ต้องมาตัดอนาคตของครูกันเลย …. #บาปกรรม