เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)

อากาศร้อน ฝนฟ้าคะนองทุกพื้นที่ ใต้หนัก ตก60-70%ของพื้นที่ ระวังน้ำท่วมเฉียบพลัน

อากาศร้อน ฝนฟ้าคะนองทุกพื้นที่ ใต้หนัก ตก60-70%ของพื้นที่ ระวังน้ำท่วมเฉียบพลัน

วันที่ 5 พฤษภาคม กรมอุตุนิยมวิทยา -พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนผ่านอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ในขณะที่ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ส่วนบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย เนื่องจากมีความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน

สภาวะอากาศที่มีผลต่อการสะสมฝุ่นละอองในระยะนี้: การสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันบริเวณประเทศไทยตอนบน อยู่ในเกณฑ์เล็กน้อยถึงปานกลาง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนตกบางพื้นที่

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย
06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้

ภาคเหนือ

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย
พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย ชัยภูมิ อำนาจเจริญ
นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคกลาง

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ส่วนมากบริเวณจังหวัดอุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี
ราชบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร
อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ภาคตะวันออก

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพและปริมณฑล

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

รวบ 2 หนุ่มไล่แทงวิน จยย.ดับกลางเมืองอุดรฯ สารภาพเพิ่งเสพยาบ้า 2 เม็ด อ้างคนตายลักมือถือ

รวบ 2 หนุ่มไล่แทงหนุ่มวิน จยย.ดับกลางเมืองอุดรฯ สารภาพเพิ่งเสพยาบ้า 2 เม็ด อ้างคนตายลักมือถือ

เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 4 พฤษภาคม 2568 ขณะที่ ร.ต.อ.สถาพร สวัสดี รอง สวป. สภ.เมืองอุดรธานี นำกำลังออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ รับแจ้งเหตุมีชายถูกอาวุธมีดแทงบนฟุตบาธ บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดฝั่งตรงกันข้ามกับกับร้านขายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง ใน ถ.ประจักษ์ศิลปาคม ต.หมากแข้ง เขตเทศบาลนครอุดรธานี จึงรุดออกไปตรวจสอบ พร้อมด้วยตำรวจสายตรวจ อาสากู้ภัยมูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี

ที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บทราบชื่อภายหลังคือ นายกันต์  อายุ 35 ปี ชาว ต.หนองนาคำ อ.เมืองอุดรธานี มีอาชีพ วินจยย. ถูกอาวุธมีดไม่ทราบขนาด แทงเข้าบริเวณหน้าอกด้านซ้าย ตัดขั้วหัวใจ นอนหงายตาค้าง ร่างจมกองเลือดอยู่บนฟุตบาธ โดยมี น.ส.อรทัย รอง ผจก.ร้านสะดวกซื้อ และเป็นภรรยาผู้บาดเจ็บ มาให้การกับเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นได้เร่งนำผู้บาดเจ็บส่ง รพ.กรุงเทพ อุดรธานี แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดร้านนวดแผนโบราณ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดเกิดเหตุ พบคนก่อเหตุเป็นชายจำนวน 2 คน ชื่อนายปอน และเพื่อนที่สวมหมวกสีเหลือง เสื้อแขนยาวสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาว กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนนจากไปหาผู้ตาย ที่เดินอยู่บนฟุตบาธคนละฝั่งถนน จากนั้นได้ยินเสียงทะเลาะและต่อสู้กัน และได้ยินเสียงผู้ตายร้องจากการถูกอาวุธมีดแทง จากนั้นผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คน ได้พากันเดินหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ไปทางตลาดสถานีรถไฟอุดรธานี ที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 กม.

ต่อมาเวลา 23.00 น. พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี ได้สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวน เข้าจับกุมตัวนายปฏิวัติ หรือปอน อายุ 27 ปี ชาว ต.กุดโบสถ์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา และ นายวุฒิกรณ์  หรือบอย อายุ 26 ปี ชาว ต.โพนทอง อ.บ้านแพง จ.นครพนม ผู้ก่อเหตุ หลังจาก น.ส.ขวัญฤทัย อายุ 31 ปี ชาว อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ภรรยาของนายปอน ติดต่อตำรวจเพื่อขอมอบตัว ซึ่งจับกุมได้ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ และที่หน้าสถานีรถไฟอุดรธานี ก่อนควบคุมตัวไปชี้จุดเกิดเหตุ และนำตัวมาสอบสวนที่โรงพัก

นายบอย สารภาพว่า เป็นคนลงมือแทงนายกันต์ จนเสียชีวิตจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นการป้องกันตัวมากกว่า เพราะคนตายจะวิ่งเข้าจะทำร้าย และมาถูกคมมีดที่ตนถือไว้เอง รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังรู้ว่าคนเจ็บเสียชีวิตแล้ว ก่อนเกิดเหตุตนเสพยาบ้าไป 2 เม็ด ส่วนนายปอน เพื่อนรุ่นพี่ไม่รู้ว่าเสพยาบ้ามาด้วยหรือไม่ และอาวุธมีดพับที่ใช้ก่อเหตุ ตนเอาไว้ใช้ตัดหลอดดูดยาบ้าเท่านั้น ซึ่งทำหล่นหายขณะหลบหนี

ด้านนายปอน สารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุได้เสพยาบ้าไป 2 เม็ด ผู้ตายเคยรู้จักมาก่อน ตั้งแต่อยู่ร้านเจ๊น้อยหลัง บขส.อุดรธานี แห่งที่ 1 แต่ไม่ค่อยเห็นเขามานานแล้ว ก่อนหน้านี้ช่วงสงกรานต์ เขาลักโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุงตนไป ราคา 3,000 บาท ขณะเขามานอนเล่นที่ห้องเช่าของตน เขาอ้างว่าทะเลาะกับเมีย เมื่อไปขอคืนหลายครั้ง เขาก็ไม่ยอมรับ และไม่ยอมคืนให้ กระทั่งวันนี้ตนและนายบอยได้ไปทวงอีก โดยมีภรรยาตนมาด้วย ขณะเข้าไปทวงคืน เหมือนกับเขาจะเข้ามาทำร้ายตน หลังจากมีปากเสียง จนเกิดการต่อสู้ นายบอยจึงใช้มีดแทงสวนผู้ตายล้มลงกับพื้น ไม่รู้ว่าจะถึงขั้นเสียชีวิต จากนั้นพวกตนก็ได้พากันแยกย้ายกันหลบหนี

สอบถาม น.ส.ขวัญฤทัย  เล่าว่า ตนเป็นแฟนปอน ทีแรกว่าจะเดินไปตลาดซื้อของ ไม่คิดว่าเขาจะมาเจอกันกลางทาง และเข้าไปตีกันแทงกันจนถึงขั้นเสียชีวิต ตอนนั้นนายปอนกับบอยอยู่อีกฝั่งของถนน ส่วนนายเอ็มผู้ตายอยู่กับเพื่อนเขาคนละฝั่งถนน แฟนของตนเป็นคนวิ่งไปหานายเอ็ม เพื่อทวงมือถือคืน แล้วได้ชกต่อยกับเพื่อนของนายเอ็ม และไม่ได้เป็นคนแทงนายเอ็ม คนที่ลงมือแทงคือนายบอย สาเหตุมาจากเรื่องโทรศัพท์ที่นายเอ็มขโมยของนายปอนจากห้องพัก

”แฟนไปทวงคืนหลายครั้ง ผู้ตายก็เอามีดไล่ฟันนายปอนสามีตน ไม่รู้เขามีเรื่องขัดแย้งอะไรกันมาก่อน ทำไมไม่ยอมคืนโทรศัพท์ให้สามี กระทั่งวันนี้บังเอิญมาเจอกัน พอสามีไปถามเขา เขาก็ไม่ให้คืน หลังก่อเหตุก็ได้แยกย้ายกันหลบหนีไป ตนกับนายสามีก็ไปซื้อของที่ตลาดยูดีทาวน์ เมื่อปรึกษากันแล้ว จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจให้สามีมอบตัว เพราะสามีไม่ได้ทำอะไรผิด จากนั้นจึงโทรไปบอกให้นายบอยมามอบตัวที่หน้าสถานีรถไฟอุดรธานี พวกตน 3 คน ทำงานที่เดียวกัน ซึ่งตนทำงานขายผักและเข็นผักในตลาดไทยอีสาน ส่วนผู้ตายขับรถจักรยานยนต์รับจ้างในสถานีขนส่งแห่งที่ 1”

ด้าน พ.ต.อ.พัฒนวงศ์ จันทร์พล ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้นายบอย มือแทง ยังไม่เปิดปากว่าเอาอาวุธมีด และเสื้อผ้าและหมวกที่สวมใส่ตอนก่อเหตุไปซุกซ่อนไว้ที่ไหน ซึ่งทางตำรวจจะได้สอบปากคำอย่างละเอียดในคืนนี้อีกครั้ง เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา นายบอย และนายปอนว่า “ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเสียชีวิต เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” ส่วน น.ส.ขวัญฤทัย ภรรยาของนายปอน ทางตำรวจได้กันไว้เป็นพยาน เนื่องจากโทรติดต่อตำรวจพานายปอนผู้เป็นสามี และนายบอย เข้ามอบตัว

สลด! แฟนบอลอินเตอร์แทงแฟนอตาลันต้าดับ หลังมีเรื่องกันในผับ

แฟนบอลอตาลันต้าทำป้ายผ้าอาลัยผู้เสียชีวิต (REUTERS/Daniele Mascolo)

สลด! แฟนบอลอินเตอร์แทงแฟนอตาลันต้าดับ หลังมีเรื่องกันในผับ

สื่อต่างประเทศรายงานว่า ได้เกิดเหตุสลดในวงการลูกหนังอิตาลี เมื่อแฟนบอลทีมอตาลันต้าวัย 26 ปี รายหนึ่ง โดนแทงเสียชีวิตขณะเกิดการปะทะกันระหว่างแฟนบอลอตาลันต้ากับอินเตอร์ มิลาน ที่ผับแห่งหนึ่งในเมืองแบร์กาโม เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม

คาร์เมโล แบรินเกลี่ ผู้กำกับการตำรวจแบร์กาโม เปิดเผยว่า เหตุกระทบกระทั่งกันเริ่มขึ้นเมื่อแฟนอินเตอร์รายหนึ่งตะโกนยั่วยุฝ่ายตรงข้าม จากนั้นต่างฝ่ายต่างเขม่นกันและเริ่มมีปากเสียง และย้ายไปหาเรื่องกันต่อบนถนนใกล้ๆ กับรังเหย้าของอตาลันต้า เรื่องเริ่มบานปลายกลายเป็นความรุนแรง เมื่อแฟนบอลวัยรุ่นของอินเตอร์คนหนึ่งใช้อาวุธมีคมแทงแฟนอตาลันต้า เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินรีบให้การช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้ โดยต่อมาทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ ริคคาร์โด้ คลาริส

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชายวัยรุ่นรายหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องน้องชาย

ด้านแฟนบอลอตาลันต้าได้ร่วมกันทำป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “คลาริสจะอยู่กับเราทุกที่” เพื่อระลึกถึงแฟนบอลที่เสียชีวิต ในเกมที่อตาลันต้าบุกถล่มมอนซ่า 4-0 ในศึกกัลโช่ เซเรียอา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม

ขณะที่จานเปียโร่ กาสเปรินี่ กุนซืออตาลันต้า กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับแฟนบอลของเราจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

อิ๊งค์ แจงคอมเพล็กซ์ บูมเที่ยว-จ้างงาน ไม่เน้น กาสิโน ลั่นไทยจะไม่มี โลว์ซีซั่น

อิ๊งค์ แจงคอมเพล็กซ์ บูมเที่ยว-จ้างงาน ไม่เน้น กาสิโน ลั่นไทยจะไม่มี โลว์ซีซั่น

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร ตอนพิเศษ สร้างโอกาสในวิกฤต สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนักลงทุน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ

น.ส.แพทองธารกล่าวถึงเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า เงินที่เข้ามาลงทุนในโครงการนี้ ไม่ใช่เงินรัฐบาลหรือภาษีของประชาชน แต่เป็นเงินของเอกชนที่จะมาลงทุนก้อนใหญ่ในประเทศเรา เงินลงทุนของต่างชาติที่จะมาลงทุน เหล่านี้ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เพิ่ม และเงินเหล่านี้ที่เข้ามาจะเอามาหมุนเวียนการเก็บภาษีคนที่เล่นกาสิโน การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะทำตามโมเดลสิงคโปร์ รัฐบาลไม่ต้องการให้โครงการนี้ถูกมองว่าเป็นเพียงกาสิโนเท่านั้น อยากทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ให้มีสถานที่จัดงาน จัดคอนเสิร์ต มีโรงแรม และกาสิโน มีมาตรฐานสากลโลกอยู่แล้ว มันต้องเป็น Gamble responsibly (การพนันอย่างมีความรับผิดชอบ) มีกฎเกณฑ์ มีขั้นตอน ไม่ใช่เอะอะใครคิดว่าวันนี้ฉันอยากถูกรางวัลที่ 1 เดินเข้าไปแล้วได้ 30 ล้านบาท เดินออกมาไม่ใช่ ต้องเข้าไปอย่างที่เราสามารถเช็กประวัติได้ รู้ว่าใครเป็นใคร มีประวัติอาชญากรรมหรือไม่ ต้องทราบหมดของทุกประเทศทั่วโลก

“คนที่เข้ามาประวัติต้องมี ทรัพย์สินต้องมี แต่ต้องสื่อสารกัน บางทีประเด็นการเมืองมันเข้มข้น แล้วอยากจะตีเรื่องนี้ให้ฉ่ำๆ ไปเลยให้มันถูกเข้าใจผิดไปเลยว่าต้องเกิดอบายมุขสุดๆ แน่ที่ประเทศไทย ซึ่งมันไม่ใช่ ประเทศที่เขาพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ สหรัฐ ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เขาเข้าเทรนด์โลกตรงนี้หมดแล้ว เพราะเขาต้องการ man made (สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น) ต้องเกิดขึ้น ไม่อยากมานั่งเสียดายทีหลังว่าประเทศไทยช้าไปอีกแล้ว คิดว่าคนไทยหลายคนน่าจะได้ไปงานเวิลด์เอ็กซ์โปที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เกาะนั้นที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากเวิลด์เอ็กซ์โปจบเขาก็เคลียร์หมดแล้วทำตรงนั้นเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นี่คือ man made ที่จะเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ในปี 2030 ที่เราไปเห็นของเมืองนอกแล้วบอกว่าเมื่อไหร่ประเทศเราจะมีทำไมบ้านเราไม่เห็นมีบ้างเลย นี่คือโอกาสของเรา คือสิ่งที่จะสร้างให้เกิดขึ้น ทั้งหมดคือการจ้างงานคนไทยทั้งหมด การท่องเที่ยวประเทศไทยจะไม่มีคำว่าโลว์ซีซั่น” นายกฯกล่าว

พิชัย จ่อเก็บแวตธุรกิจต่ำ 1.8 ล. สกัดเลี่ยง จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม

พิชัย จ่อเก็บแวตธุรกิจต่ำ 1.8 ล. สกัดเลี่ยง จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางเพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาทำธุรกิจ แต่มักจะยื่นแบบรายได้ของธุรกิจให้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เพื่อไม่ต้องเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และกรมสรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายแบบเหมาจ่ายได้ อาทิ ธุรกิจที่ยื่นแสดงรายได้ต่อปี 1.5 ล้านบาท กรมสรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายแบบเหมาจ่ายได้ 60% ส่วนที่เหลือนำมาเสียภาษี ก็เสียภาษีปีละหมื่นกว่าบาทเท่านั้น

นายพิชัยกล่าวว่า ปัจจุบันกรมสรรพากรกำหนดว่าธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) นอกเหนือจากภาษีอื่นๆ ฉะนั้นในกรณีที่ธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เช่น อาจมีรายได้ 1.5 ล้านบาท อาจจะเพิ่มเป็นแวตประเภทที่ 2 เหมือนกรณีประเทศในยุโรปทำ อาจขอเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% ของรายได้ 1.5 ล้านบาท ประเมินว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านบาท

“หากสามารถขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่มได้กว้างขึ้น นำคนเข้าระบบให้มากขึ้น จะทำให้รัฐบาลจัดทำงบขาดดุลต่ำลง ปัจจุบันขาดดุลอยู่ที่ 4.4% ของจีดีพี อาจเหลือแค่ 3.5% หรือรัฐบาลนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน เช่น การบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า สำหรับการลดรายจ่ายของรัฐบาลทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะรายจ่ายประจำที่มีข้าราชการเกือบ 3 ล้านคน จำเป็นต้องเพิ่มรายได้ ปัจจุบันการจัดเก็บจากภาษีของรัฐบาล ทำได้เพียง 15.5% ของจีดีพีเท่านั้น ในอดีตเคยได้สูงถึง 17%

โฟกัสโลกรอบสัปดาห์ : 100 วันแรก ‘ทรัมป์2.0’ ทำมะกันยิ่งใหญ่อีกครั้ง หรือพากันถอยหลังลงคลอง

AP

โฟกัสโลกรอบสัปดาห์: 100 วันแรก ‘ทรัมป์2.0’ ทำมะกันยิ่งใหญ่อีกครั้ง หรือพากันถอยหลังลงคลอง

วันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา ถือเป็นวันที่ 100 ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัย 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็น 100 วันที่สร้างแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นยิ่งกว่ายุคไหนๆ ภายใต้การผลักดันนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” หรือ MAGA ของทรัมป์ ไม่เพียงแต่จะผลักพันธมิตรให้ออกห่าง แต่ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งและมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น ท่ามกลางภาพลักษณ์ที่ตกต่ำย่ำแย่ลงของสหรัฐในเวทีโลก จากชาติที่เคยเป็นเสาหลักของระเบียบโลกมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาติที่เป็นผู้ธำรงรักษาความมั่นคง เป็นที่พึ่งให้กับชาติต่างๆ เป็นมิตรที่วางใจได้ และเป็นประเทศที่ผลักดันการค้าเสรีที่ทำให้เศรษฐกิจโลกพัฒนามาเป็นรูปร่างอย่างที่เราได้เห็นกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นคือภาพจำของสหรัฐ ก่อนการกลับมาของทรัมป์2.0

ทรัมป์ทำให้ภาพของสหรัฐในเวทีโลกเปลี่ยนไปแบบไม่น่าเชื่อ กระทั่งมีการเปรียบเปรยว่า ทรัมป์คือประธานาธิบดีที่สร้างผลกระทบให้กับสหรัฐมากที่สุดนับตั้งแต่ แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ อดีตประธานาธิบดีผู้ที่ได้รับการยกย่องในฐานะผู้วางรากฐานของเศรษฐกิจสหรัฐผ่านนโยบายสุดโต่ง นำพาสหรัฐเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 4 สมัย แต่กับทรัมป์ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นใน 100 วันแรกของเขา แม้จะมีการดำเนินนโยบายสุดโต่งไม่ต่างกัน แต่ภาพที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับอดีตประธานาธิบดีผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษของชาติอย่างโรสเวลต์แบบคนละขั้ว

แม้แต่ในสหรัฐเอง วิธีในการผลักดันนโยบายของทรัมป์ไม่ต่างจากการแย่งชิงการควบคุมอำนาจจากรัฐสภาและศาล การลดทอนอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ ทำให้หลายฝ่ายมองว่า มันเป็นสัญญานของความเสื่อมทรามและถดถอยของระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนการตรวจสอบและถ่วงดุลในประเทศที่ถูกยกให้เป็นแม่แบบด้านประชาธิปไตยของโลกแห่งนี้

รัฐบาลทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์ โจมตี และขู่ปลดผู้พิพากษาที่เห็นต่างในการดำเนินนโยบาย ปรับลดลงประมาณรายจ่ายด้วยการยุบหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะการยุบองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) หรือสื่อเก่าแก่ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลจากโลกเสรีอย่าง VOA และ Radio Free Asia ซึ่งในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการลดทอนอิทธิพลของสหรัฐในเวทีโลก อย่างไรก็ดี ดูเหมือนเป้าหมายของทรัมป์ที่จะปรับลดงบประมาณลงให้ได้ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐคงยากที่จะบรรลุผลสำเร็จได้ ขณะที่ นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ซึ่งถูกแต่งตั้งให้คุมกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ก็ยังวางแผนที่จะถอยจากการทำหน้าที่ เพราะผลกระทบต่อธุรกิจของเขาที่ตกต่ำลงจากความไม่พอใจของประชาชน จนพานให้รายได้ของเทสล่าร่วงลงไปถึง 20% ในไตรมาสแรกของปีนี้ และกำไรของเทสล่าก็ลดลงถึง 70% ทำให้มัสก์ได้เรียนรู้ว่า แสงไฟที่เขาได้มาจากการก้าวขึ้นบนเวทีการเมือง ก็เผาไหม้ผลประโยชน์และเงินในกระเป๋าของเขาไปพร้อมๆ กัน

การกดดันมหาวิทยาลัยในสหรัฐระดับไอวีลีกที่เคยเป็นเบ้าหลอมของเสรีภาพในการบ่มเพาะปัญญา องค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาต่างๆ ด้วยการระงับงบประมาณและเงินทุนเพราะไม่ดำเนินการตามคำร้องขอในการดูแลความปลอดภัยของนักศึกษาชาวยิว ไปจนถึงการขู่ว่าจะให้ยุติการรับนักศึกษาต่างชาติที่เป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับสถาบันการศึกษาของสหรัฐ ก็ยังทำลายภาพลักษณ์ของสหรัฐที่เคยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพในการศึกษาที่ผู้คนจากทั่วโลกใฝ่ฝันว่าจะมาเล่าเรียน กลายเป็นดินแดนแห่งความไม่แน่นอนที่แม้แต่นักศึกษาที่เข้ามาอย่างถูกต้องก็อาจถูกเพิกถอนสถานะกลางอากาศ และถูกจับกุมบังคับส่งตัวกลับได้โดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ในภายหลังทรัมป์จะกลับลำในเรื่องวีซ่า แต่ความรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยและไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นคงไม่อาจจางหายไปได้ง่าย โดยเฉพาะกับรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้เป็นรายวันเช่นนี้

ในเวทีระหว่างประเทศ 100 วันของทรัมป์สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายได้ในระดับสูงสุด ทรัมป์ได้ล้มระเบียบโลกที่สหรัฐสร้างขึ้น ตั้งแต่การด้อยค่าพันธมิตรด้านความมั่นคงอย่างองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และยุโรป เสาหลักด้านความมั่นคงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ดำรงอยู่มายาวนานพังทลายลงอย่างหนัก การพลิกกลับมาแสดงจุดยืนที่ดูจะสนับสนุนรัสเซียอย่างเห็นได้ชัดและหันไปด่าทอโจมตีประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน จนต้องหน้าม้านออกจากทำเนียบขาวแบบช็อกโลก การประกาศว่าจะผนวกกรีนแลนด์เข้ามาเป็นดินแดนของสหรัฐ หรือการบอกว่าแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ ล้วนแต่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก จะมีเพียงจุดยืนเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการสนับสนุนอิสราเอลแบบสุดลิ่มทิ่มประตู แม้ว่าจะเคยพยายามทำให้เกิดการหยุดยิงและปล่อยตัวประกันระหว่างอิสราเอลและฮามาสมาได้ครั้งหนึ่งก็ตาม
กระนั้นก็ดี ทำเนียบขาวปฏิเสธว่าแนวคิดที่ว่าทรัมป์ได้ทำให้ความน่าเชื่อถือของสหรัฐลดลง พร้อมอ้างถึงความจำเป็นที่จะต้องปัดกวาดทำความสะอาด “ความเป็นผู้นำที่ไร้ความรับผิดชอบ” ของ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีคนก่อนหน้า แต่ดูเหมือนว่านอกจากทีมงานของทรัมป์แล้ว ผู้คนทั่วโลกที่เห็นพ้องกับคำกล่าวอ้างนี้น่าจะมีน้อยนิดยิ่งนัก

ที่หนักหนาสาหัสมากที่สุดของทรัมป์ ไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจ จากการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรแบบถ้วนหน้า 10% และภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทนกับประเทศจำนวนมากเมื่อต้นเดือนเมษายน ดัชนีหุ้นทั่วโลกพากันร่วงลงอย่างหนักและผันผวนอย่างต่อเนื่องจากการปรับเปลี่ยนนโยบายแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เห็นว่า ทรัมป์กำลังใช้ความเป็นมหาอำนาจบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ ต้องคลานเข่าเข้ามาหา เพื่อทำตามที่สหรัฐต้องการ ในทางหนึ่งแม้จะทำให้ประเทศจำนวนมากต้องเร่งหาดีลที่สหรัฐพอใจมานำเสนอ แต่ในอีกทางหนึ่ง การลุกขึ้นมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวและไม่ยอมแพ้ของจีน พร้อมกับการประกาศตัวของจีนที่จะเป็นผู้ธำรงรักษาความร่วมมือด้านการค้าเสรีและเวทีพหุภาคีต่างๆ ก็เป็นภาพที่ย้อนแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงกับมีสื่อบางเจ้าที่แซะทรัมป์ว่าการกระทำแบบผีเข้าผีออกของทรัมป์ได้ช่วย Make China Great Again ก่อน MAGA ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สงครามการค้า ที่กำลังพังระบบการค้าเสรีและอาจถึงขั้นบีบให้ประเทศต่างๆ ต้องเลือกระหว่างสหรัฐหรือจีนนี้ ยังคงไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะไปจบลง ณ จุดใด แต่ที่แน่ๆ คือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ในเร็ววัน ขณะที่ทรัมป์อ้างว่าได้คุยกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนแล้ว แต่จีนก็สวนกลับทันควันว่าไม่ใช่เรื่องจริง จนถึงเวลานี้ก็ไม่ค่อยจะแน่ใจแล้วว่า ทรัมป์ถือไพ่เหนือกว่าสีจริงดังที่พยายามแสดงให้เห็นหรือไม่ ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกมาระบุว่า ฝ่ายสหรัฐได้ติดต่อมาเพื่อขอหารือเรื่องภาษีกับจีนแล้ว แต่จีนก็ย้ำว่าการเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ เพื่อแก้ไขการปฎิบัติที่ผิดพลาดของสหรัฐเอง
ภาษีทรัมป์ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐเอง อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้นจากราคาสินค้าต่างๆ ที่พุ่งสูงจากภาษีนำเข้า กระทั่งตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ของสหรัฐติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ขณะที่ทรัมป์ยังประกาศแสดงความไม่พอใจต่อการรักษาความมั่นคงทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มี นายเจอโรม พาวเวลล์ เป็นประธาน จนถึงกับขู่ว่าจะปลดพาวเวลล์ ก็ยังเป็นการแทรกแซงองค์กรอิสระที่ควบคุมเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐที่แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจที่ผลสำรวจความเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่มีความนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยที่สุดในรอบ 70 ปีเลยทีเดียว

ระเบียบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยืนยาวมานาน 8 ทศวรรษ ภายใต้การนำของสหรัฐ ที่มีพื้นฐานบนการค้าเสรี หลักนิติธรรม และการเคารพบูรณภาพแห่งดินแดน ถูกทรัมป์ ผู้ซึ่งไม่เชื่อในระบอบพหุภาคี สั่นคลอนและบ่อนทำลายให้ล่มสลายลงอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงแค่ 100 วัน ขณะที่เวลากว่า 1,300 กว่าวันถัดจากนี้ จะเป็นบททดสอบที่แท้จริงว่า ทรัมป์จะรอดหรือจะร่วง และ MAGA ของเขาคือฝันที่เป็นจริงหรือเป็นได้แค่ราคาคุย

นายกฯอิ๊งค์ ขอปชช.สบายใจ แย้มมีดีลลับเจรจาภาษีมะกัน

นายกฯอิ๊งค์ ขอปชช.สบายใจ แย้มมีดีลลับเจรจาภาษีมะกัน

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษ สร้างโอกาสในวิกฤต สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนักลงทุน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศถึงการรับมือการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ขึ้นภาษีทั่วโลกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ภายหลังได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเขย่าทั้งโลก ไม่ใช่เขย่าแค่ประเทศเรา เราได้ปรึกษากับทีมคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี ทางกฎหมาย ทางเศรษฐกิจ ทางระหว่างประเทศ และคนที่เก่งเรื่องของสหรัฐอเมริกา จะบอกว่ากลุ่มที่คุย คุยมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว แต่มาตั้งกลุ่มที่มารับเรื่องสหรัฐ เสร็จก่อนเดือน ม.ค.68 ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นรับตำแหน่ง

“เราเตรียมมาตลอดแม้กระทั่งเรื่องสินค้าเกษตร ที่ส่งออกหรือนำเข้าจากสหรัฐว่าเป็นอย่างไร เราเก็บภาษีเขาเท่าไร เขาเก็บภาษีเราเท่าไร เรามีกฎและข้ออะไรบ้างที่ช่วยเรื่องนี้ได้บ้าง ซัพพอร์ตผู้ประกอบการอย่างไร” น.ส.แพทองธารกล่าว

นายกฯกล่าวต่อ ส่วนภาคอุตสาหกรรมนำเข้าและส่งออกอะไรบ้าง และดูว่าสินค้าไหนจำเป็น รวมทั้งดูเรื่องภาษีทั้งหมดเราก็เห็นว่าเก็บภาษีเขาแพงมาก ขณะที่ไปเก็บประเทศอื่นถูกกว่า เห็นว่าพอเราไม่ได้เซ็น FTA ก็จะมีสินค้าที่แพงเกิน จึงคิดว่าอะไรที่ปรับได้บ้างซึ่งได้พูดคุยกับภาคเอกชนด้วยว่าถ้ารัฐบาลจะปรับแบบนี้เอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับสินค้านั้นตกลงหรือไม่ รวมทั้งได้พูดคุยกับประเทศอาเซียนว่าจะทำอะไรได้บ้าง รวมทั้งเราได้พูดคุยกับตัวแทนการค้าของสหรัฐว่าสหรัฐต้องการอะไรจากประเทศไทย พยายามปรับโหมดการเจรจาต่อรองให้มีความคุ้มค่าเกิดการวิน-วินทั้ง 2 ฝ่าย

“บางทีให้สัมภาษณ์ไม่ชัดเจนหรือพูดอะไรออกไปไม่ได้ ต้องขอทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนว่า สมุมติกำลังดีลกันอยู่ อย่างที่คนไทยชอบพูดว่าดีลลับ อันนี้ก็ประมาณนั้นก็ได้ เหมือนว่าคุยเรื่องของดีเทลอยู่ว่าดีลลับทำอะไรได้บ้าง มีความยืดหยุ่นอะไรได้บ้าง อันนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ากำลังดีลสินค้าตัวนี้อยู่ ไม่อย่างนั้นประเทศอื่นก็ได้ยินหมด มีทุกประเทศทั่วโลกมาต่อรองกับสหรัฐ ถ้าเขาเปิดเผยหรือเฉลยว่าประเทศนั้นประเทศนี้จะทำอะไรได้บ้าง แน่นอนว่าต้องถูกเปรียบเทียบแน่นอนว่าประเทศฉันไม่ได้หรือ โควต้ายังไง มันจะเกิดความวุ่นวายแน่นอน” นายกฯกล่าว

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เพราะฉะนั้นทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยต้องมีการดีลลับอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เป็นการมีมารยาทให้กับทุกประเทศ ให้เกียรติทุกประเทศว่าเราคุยของเราไปก่อน เพื่อที่จะต่อรองอะไรได้บ้าง อนาคตมีอะไรแลกเปลี่ยนกับเขาได้บ้าง อันนี้คือสิ่งสำคัญว่าเราต้องดีลแบบนี้ ทุกประเทศก็ดีลแบบนี้ ไม่มีใครออกมาพูดเสียงดังเกินไป อย่างที่บอกความรวดเร็ว มันไม่ใช่ตัวกำหนดว่าต้องรวดเร็ว แต่เราต้องแม่นยำในการต่อรองในการพูดคุย และการคุย ความรวดเร็วดูแท็กของเวลา ว่าเราอยู่ในแท็กเวลา เราไม่หลุดออกจากกรอบแน่นอน เราจะเห็นได้ว่าเวลาที่คุยเรื่องภาษีมีการเปลี่ยนแปลง สหรัฐอเมริกามีการปรับกับประเทศนั้นประเทศนี้มีตลอด

“ฉะนั้นเรารอดูอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในกระเป๋าเราตุนไว้มากมายแล้ว ขอให้สบายใจเรื่องนี้ ตอนนี้การเจรจาแบบไม่เป็นทางการมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่เคยขาดหายไปเลย ดิฉันเองอัพเดตกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง อยู่สม่ำเสมอ ขอให้ประชาชนสบายใจว่าเรื่องนี้รัฐบาลคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากและต้องเตรียมความพร้อมอย่างหนักแน่น จนถึงวันที่เราได้สามารถเจรจาต่อรอง” นายกฯกล่าว

นายกฯกล่าวกรณี บริษัท มูดี้ส์ (MOODYs) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน ได้แสดงความเห็นในรูปแบบของมุมมอง (Outlook) ต่อประเทศไทย ไม่ใช่การลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit) ทั้งสองอย่างมีความหมายที่แตกต่างกัน มูดี้ส์ประเมินว่าโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอาจลดลง เพราะตัวแปรของมุมมองที่เพิ่มมากขึ้น คือ กำแพงภาษีของทรัมป์ การแสดงมุมมองดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลดลง รัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว พร้อมเดินหน้าผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และการเข้ามาของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกยังคงมองว่าไทยมีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจสม่ำเสมอ ขอให้ประชาชนสบายใจว่าเรื่องนี้รัฐบาลคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากและต้องเตรียมความพร้อมอย่างหนักแน่น จนถึงวันที่เราได้สามารถเจรจาต่อรอง

เด็กไทยผงาด 2 แชมป์ ปิดฉากศึกปิงปองเยาวชน เก็บคะแนนโลก

เด็กไทยผงาด 2 แชมป์ ปิดฉากศึกปิงปองเยาวชน เก็บคะแนนโลก

การแข่งขันเทเบิลเทนนิสเยาวชนเก็บคะแนนสะสมโลก รายการ “ดับเบิลยูทีที ยูธ สตาร์ คอนเทนเดอร์ แบงค็อก 2025 พรีเซนเต็ด บาย ไทยออยล์” ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอซ์แลนด์ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 2-4 พฤษภาคม 2568 มีนักเทเบิลเทนนิสเยาวชนจำนวน 217 คนจาก 18 ประเทศทั่วโลกร่วมชิงชัย โดยสมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพได้สิทธิ์ส่งนักปิงปองเยาวชนทีมชาติที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเข้าแข่งขันจำนวน 28 คน

สำหรับระบบการแข่งขันแบ่งออกเป็น 10 ประเภทการแข่งขัน ประกอบด้วย ประเภทชายเดี่ยว, หญิงเดี่ยว, ชายคู่, หญิงคู่ และคู่ผสมใน 2 ได้แก่ รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี และ รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี

การแข่งขันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา นักกีฬาไทยทำการแข่งขันเสร็จสิ้นครบทุกประเภทการชิงชัยแล้ว โดยสามารถทำผลงานคว้ามาได้ถึง 2 แชมป์และคว้าอันดับ 3 ร่วมอีก 1 ประเภท ในส่วนของการคว้าแชมป์นั้นได้มาจากประเภทหญิงคู่ รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ที่ไทยส่ง “ผิง” วิรากานต์ ทายะพิทักษ์ กับ “ไอซ์” ภัตศราภรณ์ วงละคร สองสาวตัวความหวังของรุ่น 19 ปี ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งต่างๆ จนทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนสองสาวไทยจะตบเอาชนะ ซินเดรลา ดาส กับ ดีฟยานชี โบมิค จากอินเดียไป 3-1 เกม 11-7, 13-15, 11-1, 12-10 ผงาดแชมป์หญิงคู่รายการเก็บแต้มเยาวชนโลกประจำสนามที่ไทยไปอย่างสวยหรู

ขณะที่อีกหนึ่งความสำเร็จของไทยได้จากประเภทคู่ผสม รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี “นอร์ตั้น” ฐิตภัทร ปรีชาญาณ กับ “พลอย” กุลภัสสร์ วิจิตรวิริยะกุล ที่เพิ่งช่วยกันคว้าอันดับ 3 จากรายการ “ยูธ คอนเทนเดอร์” ที่เพิ่งจบไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา มาในรายการนี้ทั้งสองพัฒนาฝีมือตนเองและลิ่วเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะตบดับ หยู ยี่-ซิง กับ กัว ยู่-ซวน จากไต้หวันไปอย่างสุดยอด 3-1 เกม 7-11, 12-10, 11-8, 11-9 กระชากแชมป์มาครอง

นอกจากนี้ พลอย กุลภัสสร์ ยังแท็กทีมกับ “ปันปัน” ชิสา คชมิตร เพื่อนร่วมเยาวชนทีมชาติคว้าอันดับ 3 ในประเภทหญิงคู่ 15 ปีมาได้อีกด้วย หลังสองสาวน้อยไปหยุดถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะพ่ายให้แก่ เสี่ยว หวังกิ กับ หลิว ซิลหลิง ของจีนแผ่นดินใหญ่ไป 0-3 เกม (7-11, 7-11, 9-11)

ด้านผลงานที่ดีที่สุดของทัพลูกเด้งไทยในอีก 7 ประเภทมีดังนี้ ชายเดี่ยว 19 ปี นักกีฬาไทยประกอบด้วย ภูเดช ปานเฟือง, วศพล ยะทวานนท์ และ ฐิตภัทร ปรีชาญาณ ตกรอบแบ่งกลุ่มทั้งหมด, หญิงเดี่ยว 19 ปี นักกีฬาไทยประกอบด้วย วิรากานต์ ทายะพิทักษ์, ภัตศราภรณ์ วงละคร, เขมิสรา ดีรุจิเจริญ และ กุลภัสสร์ วิจิตรวิริยะกุล ตกรอบแบ่งกลุ่มทั้งหมด,

ชายคู่ 19 ปี วศพล ยะทวานนท์ กับ ภูเดช ปานเฟือง ตกรอบ 16 คู่ แพ้ หวัง ซิลหลิง กับ หยู่ ไฮ่หยาง จากจีน 1-3 เกม (7-11, 6-11, 11-9, 8-11), คู่ผสม 19 ปี วศพล ยะทวานนท์ กับ วิรากานต์ ทายะพิทักษ์ ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ แพ้ หวัง ซิลหลิง กับ หยาง หุยซี จากจีน 2-3 เกม (11-6, 11-13, 7-11, 11-4, 4-11), ชายเดี่ยว 15 ปี นิมิตร สร้อยพวง ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ แพ้ จู กวนฮง จากจีน 1-3 เกม (9-11, 11-9, 3-11, 7-11)

หญิงเดี่ยว 15 ปี กุลภัสสร์ วิจิตรวิริยะกุล ตกรอบ 16 คน แพ้ หยาง หุยซี จากจีน 2-3 เกม (11-9, 13-11, 8-11, 4-11, 9-11), ชิสา คชมิตร ตกรอบ 16 คน แพ้ มิกุ มัตสึชิมา จากญี่ปุ่น 0-3 เกม (8-11, 5-11, 4-11), ชายคู่ 15 ปี ฐิตภัทร ปรีชาญาณ กับ กันตณัฐ เพ็ชรสันทัด ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ แพ้ จู ไคเอ็น กับ เฉิน ยี่ชู จากจีน 0-3 เกม (9-11, 5-11, 6-11) และ นิมิตร สร้อยพวง ที่จับคู่กับ ริตวิค กัปตา นักกีฬาจากอินเดีย ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ แพ้ เฉิง มิน-ซิว กับ หยู่ ยี่-ซิง จากไต้หวัน 1-3 เกม (11-8, 8-11, 2-11, 7-11)

โปรเม-โปรพราว ปิดฉากคว้าอันดับ 6 ร่วม ศึกแบล็ค เดสเสิร์ท

(AP Photo/Ashley Landis)

โปรเม-โปรพราว ปิดฉากคว้าอันดับ 6 ร่วม ศึกแบล็ค เดสเสิร์ท

“โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล และ “โปรพราว” ชเนตตี วรรณแสน เป็นนักกอล์ฟไทยที่ทำผลงานดีที่สุดหลังจบรอบสุดท้าย ศึกกอล์ฟหญิงแอลพีจีเอทัวร์ รายการ “แบล็ค เดสเสิร์ท แชมเปี้ยนชิพ” ซึ่งจัดแข่งขันเป็นปีแรก ที่รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม โดยทั้งคู่ต่างเก็บเพิ่มคนละ 3 อันเดอร์พาร์ ในรอบสุดท้าย ทำสกอร์รวม 16 อันเดอร์พาร์ 272 ปิดฉากในอันดับ 6 ร่วมกัน

สำหรับโปรเม นับเป็นการจบอันดับท็อป 10 รายการที่ 3 ติดต่อกันจากที่เข้าร่วมแข่งขันในปีนี้แล้ว หลังจากเข้าถึงรอบรองชนะเลิศรายการ “ทีโมบายล์ แมตช์เพลย์” เมื่อต้นเดือนเมษายน ต่อด้วยการจบอันดับ 2 ร่วม ในศึกเมเจอร์แรกของปี “เดอะ เชฟรอน แชมเปี้ยนชิพ” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ส่วนตำแหน่งแชมป์รายการนี้เป็นของรยู แฮรัน โปรสาวชาวเกาหลีใต้ ซึ่งนำโด่งที่ 26 อันเดอร์พาร์ 262 ทิ้งห่างอันดับ 2 ร่วม หยิน รั่วหนิง อดีตมือ 1 โลกชาวจีน และเอสเธอร์ เฮนเซไลต์ จากเยอรมนี ซึ่งทำสกอร์รวม 21 อันเดอร์พาร์ 267 เท่ากัน ถึง 5 สโตรก

ผลงานของสาวไทยคนอื่นๆ
อันดับ 27 ร่วม “โปรจูเนียร์” ธิฎาภา สุวัณณะปุระ 11 อันเดอร์พาร์ 277
อันดับ 52 ร่วม “โปรเปียโน” อาภิชญา ยุบล 5 อันเดอร์พาร์ 283
อันดับ 58 ร่วม “โปรเมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ 3 อันเดอร์พาร์ 285