⦁…แม้จะเหลืออีกแค่ 3 เดือนจะถึง “วันเลือกตั้ง” ที่เลื่อนมาเป็นครั้งที่ 4 คือ “24 ก.พ.62” แต่เหตุให้หวาดระแวงว่าจะต้องเลื่อนออกไปอีก เกิดขึ้นไม่หยุด ล่าสุด “ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองขนาดเล็กกลุ่มหนึ่ง” รวมตัวกัน เรียกร้องให้เลื่อน ด้วยเหตุผลที่ “โคตรเห็นแก่ตัว” คือ “เตรียมตัวไม่ทัน” ซ้ำด้วย “คสช.” ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จตาม “ม.44” สั่งขยายเวลาแบ่งเขตเลือกตั้งก่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ขรมว่าจะเป็นเหตุขยายกำหนดวันเลือกตั้งด้วย
⦁…ด้วยก่อนหน้านี้แทบทุกเขตพื้นที่ โดยเฉพาะในหมู่นักการเมือง ที่ติดตามข่าวใกล้ชิด แทบจะรู้กันหมดแล้วว่า “แต่ละเขตครอบคลุมพื้นที่ใดบ้าง” เมื่อเกิดการใช้อำนาจเข้มข้น ให้เวลาที่จะรื้อการแบ่งเขตใหม่ เสียงครหาเรื่อง “เอาใจนักการเมืองฝ่ายตัวเอง สร้างอุปสรรคให้นักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม” จึงดังให้ขรม ตามประสา “คนหาเรื่องด่า” การเลือกตั้งที่หวาดระแวงการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ยิ่งมีเหตุตอกย้ำมากขึ้นไปอีก
⦁…แต่ที่สุดแล้วยังยืนยันอยู่ทุกฝ่าย ว่าเหตุที่จะทำให้ต้อง “เลื่อนเลือกตั้ง” ถึงวันนี้ยังไม่มี เพียงแต่ว่า “การเมืองเป็นเรื่องของแพ้ชนะ” หาก “กติกาก่อความรู้สึกไม่เป็นธรรม” ความวุ่นวายย่อมเกิดได้ไม่ยาก และนั่นเป็นเหตุที่จะอ้างความชอบธรรมให้เลื่อนเลือกตั้งออกไป บ้านเมือง “ยุคไม่ไว้ใจกันและกัน” อะไรที่นึกว่าง่าย กลายเป็นของยากได้เสมอ
⦁…ความเป็นห่วงว่า “ประชาธิปไตยจะยังมากมายด้วยอุปสรรค” ไม่ได้จบแค่เลือกตั้ง ยังมีช่วง “จัดตั้งรัฐบาล” เพราะ “เงื่อนไขตามกติกาใหม่” ส่งให้ “ผลเลือกตั้ง” เป็น “เบี้ยหัวแตก” คือ “ไม่มีพรรคไหนได้เสียงพอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้” อย่างไม่ถูกต่อรองกดดันให้ยุ่งยาก ซึ่งจะทำให้ต้อง “ใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาลกันยาวนาน” เมื่อ “รัฐธรรมนูญ” ให้ “รัฐบาลเก่ามีอำนาจเต็ม” ไม่ใช่แค่ “รัฐบาลรักษาการ” แค่สร้างเงื่อนไขให้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ “คสช.” จะมาสามารถคุมอำนาจต่อไปได้ โดยไม่เกี่ยวกับผลเลือกตั้ง
⦁…เพราะ “กิจกรรมการเมือง” เริ่มปลดล็อกให้ทำได้แค่บางส่วน แถมต้องแทบเริ่มต้นแบบนับหนึ่งกันใหม่ แต่ละพรรคจึงยังออกอาการ “เคลียร์ภายในกันไม่เสร็จ” ต่างคนต่างมีปัญหาของตัวเองกันไป อย่าง “เพื่อไทย” ที่ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญ จะแตกตัวอย่างไร เพื่อรับ “ระบบปาร์ตี้ลิสต์ใหม่” ของการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่เจตนาชัดว่า “ต้องการบอนไซพรรคการเมืองให้เติบใหญ่ไม่ได้” ใครจะลงตรงไหน เพื่อแก้เกมอย่างหวังผลได้มากที่สุด เป็นเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าที่สุด ขณะที่ต้องเริ่มสื่อสารพบปะประชาชนอย่างถึงประตูบ้านมากขึ้น
⦁…ส่วน “ประชาธิปัตย์” การเคลียร์ภายใน เพื่อให้พรรคเป็นอิสระพอ ไม่ให้ “พรรคเก่าแก่” ต้องกลายเป็นแค่ “สำรองของพรรคสนับสนุน คสช.” ในฐานะ “หัวหน้าพรรค” เป็นภาระของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องจัดการกับ “ภาวะแทรกซ้อนทางอำนาจบริหาร” ที่เครือข่ายของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้ามาบงการอยู่ไม่น้อย เรื่องราวนี้ไม่ง่าย เว้นเสียแต่ว่า “เดอะมาร์ค” จะเล่นในมุม “ปล่อยไว้ให้เป็นโอกาส” ใช้เป็นเหตุผล “พลิกหลักการ” ช่วงตั้งรัฐบาล ให้ “มีทางเข้าร่วม”
⦁…หลังหงอยๆ จนน่าเป็นห่วงว่า “ความทุ่มเทมหาศาล” ทั้งอำนาจรัฐ และการสนับสนุนจะมาคุ้มค่า ถึงวันนี้ หลัง “กลุ่มสามมิตร” จัดวางตัวเข้าที่เข้าทาง “พลังประชารัฐ” ดูคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เป็นคึกด้วย “พลังผู้มากบารมีในท้องถิ่น” ซึ่งแน่นอนว่า “ตามโครงสร้างการเมืองแบบเก่า ย่อมมีอิทธิพลต่อคะแนนเสียง” เพียงแต่ประเด็นการต่อสู้ครั้งนี้ ที่พยายามปลุกให้เป็น “เลือกตั้งเพื่อต้านเผด็จการ” ทำให้น่าสนใจยิ่งว่า “บารมีท้องถิ่น” จะยังแกร่งพอจะทำให้ประชาชนทอดทิ้งภารกิจเฉพาะหน้าหรือไม่
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่