มอบกรมธรรม์ – อานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย, สมพร สืบถวิลกุล และบังอร จิระวรสุข อุปนายกสมาคมฯ เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 270,000 คน คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อ COVID-19 โดยให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลา 6 เดือน จำนวน 1,000,000 บาทต่อคน พร้อมมอบเครื่องช่วยหายใจให้กับโรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี จำนวน 50 เครื่อง ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้
สนับสนุนเงิน – บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นำโดย สิตมน รัตนาวะดี และพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มอบเงินสนับสนุนจำนวน 10 ล้านบาท ให้แก่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมี ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็วๆ นี้
พลังร่วม – อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.) จัดตั้งโครงการ ลมหายใจเดียวกัน มีเป้าหมายมอบเครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยวิกฤต และเครื่องให้ออกซิเจนอัตราไหลสูง รวมจำนวนกว่า 300 เครื่อง พร้อมทั้งมอบงบประมาณจัดซื้อออกซิเจนเหลว เพื่อใช้ร่วมกับเครื่องช่วยหายใจ แก่โรงพยาบาลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และโรงพยาบาลที่มีปัญหาผู้ป่วย COVID-19 ในขั้นวิกฤต และมีความจำเป็นเร่งด่วน
มอบยา – ปวรวรรณ วีระภุชงค์, ปภาพินท์ วีระภุชงค์ และสุวรรณา บุญคุณศักดิ์ เป็นตัวแทนมูลนิธิวีระภุชงค์ มอบยาซาร่า 1 ล้านเม็ด มูลค่า 1,2000,000 บาท ให้ พล.ต.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยจากโรคโควิด19 ที่ศาลากลาง กทม. เมื่อเร็วๆ นี้
ส่งหน้ากากผ้า – รศ.นพ.สุพัชญ์ สีนะวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมคณะผู้บริหารสำนักฯ ได้ส่งมอบหน้ากากผ้า จำนวน 1,000 ชิ้น ให้แก่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โดยมี ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ฝ่ายบริการทางการแพทย์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 1 จ.ขอนแก่น เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องบรรยาย 1 อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเร็วๆ นี้
…โลกแห่งความเหลื่อมล้ำ ในสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด ผู้มีฐานะดี เซฟตัวเองได้ง่ายกว่า คนหาเช้ากินค่ำ แต่ตัดความเคยชินบางอย่าง เก็บตัวเองอยู่บ้านที่พร้อมจะเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง
ไม่เดือดร้อนอะไร ขณะที่คนส่วนใหญ่ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ความจำเป็นบังคับ ให้ต้องออกมาทำมาหากิน วัคซีน จึงเป็นคำตอบเดียวที่จะคลี่คลายวิกฤต เพราะหมายถึง การคืนชีวิตปกติ ให้กับคนทั่วไป ออกมาหารายได้เลี้ยงชีวิตได้ แค่ความกลัวที่ในใจ ชนชั้นได้เปรียบ กระจายข่าวเสียจน การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เกิดปัญหา
…การระบาดรุนแรงขึ้น เกิดคลัสเตอร์มากมาย ลามไปหลาย ชุมชน-ตลาดสด-โรงงาน และ สถานที่ทำมาหากินของระดับล่าง การหยุดยั้งแบบ อยูู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ทำไม่ได้ เพราะ อดตาย เป็นแรงผลักดันที่มากกว่า ได้แค่อาศัย ออกมาแล้วระมัดระวังตัวเอง ซึ่งทำได้ยาก
ด้วย ทุกการสัมผัส ล้วนอันตราย วัคซีน เป็นคำตอบเดียว แต่เพราะ บริหารผิดพลาด ทำให้มาไม่ทันเวลา การแก้ปัญหาเป็นไปไม่ได้
…ที่หนักกว่านั้นคือ วันนี้ไม่ได้ หวังว่าอนาคตจะรับมือไหว แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เปิดให้ คนแก่-คนป่วย ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงมีแรงจูงใจที่ต้อง ฉีด มากที่สุด มาเข้าคิว ปรากฏ มาลงชื่อเข้าคิวกันน้อยนิด 1.6 ล้านคน ห่างไกลจากเป้าหมาย ภูมิคุ้มกันหมู่ สะท้อนความหมดท่า คนไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลมีมากจนสร้างปัญหากับการคลี่คลายวิกฤตของประเทศ ในสถานการณ์เช่นนี้ ความรู้ว่าตัวเองเป็นปัญหา สำคัญที่สุด แต่กลับ โทษประชาชน ว่า เชื่อข่าวลือ-ข่าวปลอม มากกว่า เชื่อรัฐบาล โถ! ถ้ารู้จักถามตัวเองเสียบ้างว่า ทำไมประชาชนไม่เชื่อถือแล้ว อาจจะมีโอกาสเห็นทางแก้ไขบ้าง
…หลังโลกออนไลน์ แชร์ ค่ารักษาโควิด ที่ผู้ป่วยเจอไป เกือบล้านบาท มีแถลงจากกระทรวงสาธารณสุขว่า ค่ารักษาโควิด ไม่ว่าจะที่โรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชน สปสช. รับผิดชอบ ประชาชนไม่ต้องจ่าย ซึ่งเป็น ความตกลงร่วมกันมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว แต่ที่ บางโรงพยาบาลเอกชน ทำเป็นไม่รู้ เพราะ ไม่อดทนกับการเรียกเก็บจากรัฐที่ยุ่งยาก เมื่อ การสร้างรายได้ ทำกำไรมีพลังมากกว่า ข้อตกลงที่่มีอยู่จึงเป็นหมัน และการบังคับให้ต้องทำตาม น่าจะนำมาซึ่งการปฏิเสธคนป่วยมากขึ้น สังคมปล่อยให้โรงพยาบาลเน้นธุรกิจมากกว่าช่วยคนป่วยไว้ก่อน มาไกลเกินกว่าจะกู่กลับ
…ถึงวันนี้ การไม่รับตรวจ เพราะไม่อยากยุ่งกับข้อบังคับ ตรวจที่ไหน รักษาที่นั่น ยังเป็นปัญหาไม่เลิก หากติดตามในโลกออนไลน์ จะพบเสียงร้องให้ ช่วยหาเตียง อันหมายถึง โอกาสที่จะได้รับการรักษา ไม่ปล่อยให้ต้องนอนซมอยู่บ้านจนตาย มีให้ได้ยินอยู่ เป็นเสียงของ คนตัวเล็ก ที่ดังไม่ถึง ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งครองอำนาจ แม้ทุกครั้งที่ได้ยินจะ รู้สึกเศร้า แต่ถึงที่สุดแล้ว ความเคยชินกับความเหลื่อมล้ำ ทำให้เสียงของคนข้างล่างแผ่วเบา
…เยาวชนคนรุ่นใหม่ เคลื่อนไหวทางการเมือง เรียกร้องปรับลด ความเหลื่อมล้ำ ด้วยเชื่อว่า สังคมที่ผู้คนอยู่อย่างเท่าเทียม จะทำให้เสียงของ คนเล็กคนน้อย ที่เป็น ส่วนใหญ่ของประเทศ ดังและมีพลังให้ได้รับการรับฟังมากขึ้น แค่เครื่องมือ กลไก ขบวนการที่ห่อหุ้ม เพื่อปกป้อง อำนาจนิยม หนาทึบ และแข็งแรงเกินกว่าจะสะเทือนจากการต่อสู้นั้น ความท้อแท้มาถึงขั้น เด็กๆ ชักชวน ย้ายประเทศกันเถอะ ทว่าถึงขั้นนี้แล้ว คนที่รู้สึกและตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้ มีน้อยนิด
…ประเทศที่สัดส่วนของ ผู้สูงอายุ มากขึ้น จำเป็นต้องอาศัย คนหนุ่ม-คนสาว ที่สัดส่วนน้อยลงช่วยรับภาระมากขึ้น ไม่แค่ ลูก หลาน ต้องดูแลพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย แต่ความหมายอยู่ที่การ รับภาระภาษี เพื่อมาให้เป็นค่าใช้จ่ายของประเทศ ภาษี ย่อมมาจากการงานที่สร้างรายได้ คนวัยทำงาน คือความหวัง ขณะที่ คนเฒ่าคนแก่ ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว แต่แทนที่จะสำนึก กลับมีจำนวนไม่น้อยขับไสไล่ส่งเด็กๆ ด้วยความคิดว่า ตัวเองไม่เดือดร้อน สมองไม่พอที่จะมองเห็นว่าประเทศชาติโดยรวมจะเดือดร้อนอย่างไร หาก เยาวชนคนหนุ่มสาวดิ้นรนย้ายประเทศเกิดเป็นกระแสความนิยมขึ้นมา
ชโลทร