บัดดลที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ปรากฏตัวที่จังหวัดเลยพร้อมกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ข่าวใหญ่ที่ นายอนุชา นาคาศัย เอ่ยขึ้นภายหลังไปรอต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นครสวรรค์
ก็ผ่านการการันตีอย่างเป็นรูปธรรม
การมารอต้อนรับที่ท่าอากาศยานเลยของ นายปรีชา พร้อมกับ นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข และนายวันชัย บุษบา เสมอเป็นเพียง “น้ำจิ้ม”
เพราะว่า “อาหารหลัก” คือ การปูพรมแดงให้กับ”พรรคพลังประชารัฐ” ต่างหาก
จำได้หรือไม่ว่า นายอนุชา นาคาศัย คุยกับ”รัฐมนตรี”คนใด
จำได้หรือไม่ว่า รัฐมนตรีคนใดระบุว่า รู้จักและสนิทสนมกับ นายอนุชา นาคาศัย มานานแล้ว
และเหตุการณ์ที่ “เลย” คือ การตอกย้ำ และยืนยัน
หากติดตามกระบวนการเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐจะมีแต่ชื่อของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ออกหน้า
และมีชื่อ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น”กระสาย”
แต่การปรากฏตัวและประกาศสถานะการเป็น”หัวหน้ากลุ่ม”ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จึงถือเป็นการลั่นกลองรบอย่างเป็นทางการ
เจาะทะลวงพื้นที่”อีสาน”อย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ
ความหมายอีกความหมาย 1 คือ การยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐต่างหากที่เป็น “พรรคหลัก” ซึ่ง “คสช.”ให้ความไว้วางใจสูงที่สุด
ไม่ใช่พรรครวมพลังประชาชาติไทยของ นายสุเทพ เทือกสุ บรรณ
และยิ่งไม่ใช่พรรค”พลัง”กระจอกงอกง่อยอื่นๆ
เพราะว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เพียงแต่ยึดกุม”ประชารัฐ”หากแต่ยังมี “ไทยนิยม ยั่งยืน”ตามหลัง
การประกาศตัวของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมกับเจาะทะลวงเข้าไปยังอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย จึงทรงความหมายอย่างสูงในทางการเมือง
เพราะ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คือ อดีต”เลขาธิการ”พรรคไทยรักไทย
เมื่อประสานมือกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็เปี่ยมด้วยความพร้อมในการทะลาย”ฐานกำแพง”ของพรรคเพื่อไทย
