ป.ป.ช.แจงยิบ ‘สมชาย’ผิดสลายพันธมิตร แต่’อภิสิทธิ์’ไม่ผิดสลายนปช. เหตุไม่รื้อคดีปี’53

ป.ป.ช.แจงยิบมติไม่รื้อคดีสลายชุมนุม นปช.53 ระบุไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ งัดตารางเทียบเหตุการณ์สลายม็อบพันธมิตร ปี’51-นปช.53 ย้ำ “สมชายผิด-อภิสิทธิ์ไม่ผิด” ส่วนคดีเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ มีคนตาย 99 ศพ ให้ดีเอสไอรับผิดชอบ “เต้น” บุกเข้าฟัง ลั่นไม่ยอมรับ ขู่เจอกันอีกแน่

เมื่อเวลา 10.20 น.วันที่ 22 มิถุนายน ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงกรณีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายวรัญชัย โชคชนะ มีหนังสือร้องขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 ที่มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป โดยในการแถลงข่าวครั้งนี้มีนายณัฐวุฒิ และนายยศวริศ ชูกล่อม เข้าร่วมฟังด้วย

นายวรวิทย์แถลงว่า ประเด็นที่มีการร้องขอให้ทบทวนมี 4 ประเด็น คือ 1.การตัดสินใจทางนโยบาย กรณีใช้อาวุธสงครามกระสุนจริงและยุทธวิธีการซุ่มยิงถูกต้องหรือไม่นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยพิจารณาและวินิจฉัยไว้แล้วว่าการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 53 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 53 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำสั่งของศาลว่าเป็นช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.

จึงมีเหตุจำเป็นที่ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำสั่งของศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 วันที่ 22 เมษายน 53 และวันที่ 14 พฤษภาคม 53 อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับคำสั่งจาก ศอฉ.จะต้องไปปฏิบัติโดยกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมเป็นลำดับชั้นต่อไปจนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ซึ่งมีผู้ควบคุมคือ ผู้บังคับกองพันในการปฏิบัติการจริงในพื้นที่นั้น

Advertisement

การตัดสินใจในการใช้อาวุธจะเป็นอำนาจโดยสายการบังคับบัญชาในการสั่งการของผู้บัญชาการกองพล หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องรับผิดในการกระทำดังกล่าวฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือฐานฆ่าผู้อื่น อันเป็นการกระทำเฉพาะตัว ซึ่งกรณีนี้ที่ประชุมได้มีมติให้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป ตามมาตรา 89/2 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

2.ไม่ยกเลิกการปฏิบัติในทันทีเมื่อรับทราบการเสียชีวิตของประชาชน และกรณีกล่าวอ้างว่ามีการปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจและมีจุดสกัดปิดล้อมเพื่อให้ชุมนุมเลิกไปเองนั้น แต่ตามวารสารกองทัพบก (เสนาธิปัตย์) อธิบายว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ มิใช่การปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจตามที่อ้างนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในประเด็นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยพิจารณาและวินิจฉัยไว้แล้วว่าภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ. ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง และได้มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ในวันที่ 14 และ 19 พ.ค.53 ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีการใช้กำลังทหารเข้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม เหมือนการปฏิบัติการในวันที่ 10 เม.ย.53 แต่เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง

3.การอ้างว่ามีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการอ้างโดยมิได้มี หลักฐานใดๆ รองรับ เป็นการอ้างไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลแพ่ง เนื่องจากคำพิพากษาระบุว่าการเสียชีวิตเบื้องต้นในวันที่ 10 เม.ย.53 ยังไม่ทราบว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด และศาลแพ่งได้เตือนจำเลยคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก ในการสลายการชุมนุมหรือขอคืนพื้นที่ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็นตามความเหมาะสม และคำสั่งศาลอาญาในเรื่องการตาย จำนวน 19 ศพ ก็ยืนยันว่าผู้ตายตายจากกระสุนความเร็วสูง จากอาวุธสงครามของเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง ศอฉ. และไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืนหรือยิงต่อสู้นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในประเด็นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยพิจารณาและวินิจฉัยไว้แล้วว่า ตามคำสั่งศาลในช่วงระยะเวลาต่างๆ ได้แก่ คำสั่งศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ ร. 2/2553 วันที่ 5 เม.ย.53, คำสั่งศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 วันที่ 22 เม.ย.53, คำสั่งศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 วันที่ 14 พ.ค. 2553

Advertisement

คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญากรุงเทพใต้ กรณีนายบุญมี เริ่มสุข ในคดีหมายเลขดำที่ ช.7/2555 คดีหมายเลขแดงที่ ช.1/2556 วันที่ 16 ม.ค.56, คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญา กรณีนายมานะ อาจราญ ในคดีหมายเลขดำที่ อช.8/2555 คดีหมายเลขแดงที่ อช.3/2556 วันที่ 21 ก.พ.56 สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการสลายการชุมนุมเพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล

4.กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ไม่รอบคอบ ไม่ถูกต้อง ไม่น่าเชื่อถือและ 2 มาตรฐาน ดังนี้ 1. เหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.51 (การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ) เกิดขึ้นและยุติลงภายในวันเดียว แต่คำฟ้องของ ป.ป.ช. แบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 3 ช่วงเวลา กล่าวถึงผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บรายสำคัญโดยละเอียด ขณะที่เหตุการณ์ปี 53 เกิดขึ้นต่อเนื่องกันกว่า 1 เดือน ต่างกรรมต่างวาระต่างสถานที่ แต่กลับพิจารณาแบบองค์รวม นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีดุลพินิจที่แตกต่างจากอัยการและศาล ดังนั้น หากในกรณีสลายการชุมชุม นปช.ในปี 2553 ได้มีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล อัยการและศาลอาจมีข้อวินิจฉัยที่แตกต่างจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นได้นั้น

2.ในกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีอำนาจตามหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสมชาย มีอำนาจสั่งการแทนนายกรัฐมนตรี จึงไม่อาจปฏิเสธความผิด ต่อกรณีมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แต่กรณีกลุ่ม นปช. นั้น ป.ป.ช. กลับมีมติว่าหากเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็นจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บให้ถือเป็นความผิดเฉพาะตัว 3.กรณีสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯ ในปี 2551 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย 1 ในนั้น คือ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือสารวัตรจ๊าบ แกนนำการ์ดกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าขับรถบรรทุกวัตถุระเบิดที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงเข้ามาในพื้นที่ และเกิดเหตุระเบิดจนเสียชีวิต กลับไม่ถูกกล่าวถึงแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าการชุมนุมดังกล่าวมิได้ปราศจากอาวุธ เช่นเดียวกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช.

4.กรณีนายสมชาย และคณะเจ้าหน้าที่ใช้เพียงแก๊สน้ำตา มีความผิด กรณีของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งใช้อาวุธสงครามสารพัดชนิด กลับไม่มีความผิดนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ในประเด็นนี้ ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ ของเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่ม นปช. มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในคืนวันที่ 6 ต.ค.51 เวลาประมาณ 23.00 น. ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว) นายสมชาย ร่วมกับ พล.อ.ชวลิต มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ดำเนินการเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภา เข้าประชุมเพื่อแถลงนโยบายในวันที่ 7 ต.ค.51 ให้ได้ โดยไม่ปรากฏแนวทางการปฏิบัติที่เป็นไปตามขั้นตอนและหลักการสากล มีการใช้แก๊สน้ำตาชนิดยิงและขว้างเพื่อผลักดันประชาชนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดทางเข้ารัฐสภา 3 ครั้ง ครั้งแรกเวลา 06.00 น. มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก บางคนขาขาด นิ้วขาด และน่องเป็นแผลฉกรรจ์ ครั้งที่สอง เวลาประมาณ 16.00-17.00 น. เมื่อนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ครั้งสุดท้ายเวลาประมาณ 19.00 น. บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลโดยใช้แก๊สน้ำตาอีกครั้งหนึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 1 ราย คือ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ

นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสมือขาด ขาขาด เท้าขาด รวมทั้งสิ้น 471 ราย สำหรับรายพ.ต.ท.เมธี ขณะเสียชีวิตยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเสียชีวิตจากระเบิดแสวงเครื่องที่เกิดระเบิดภายในรถของตนเองขณะเข้าร่วมชุมนุม โดยสื่อมวลชนได้เสนอข่าวการสลายการชุมนุมด้วยการใช้แก๊สน้ำตาซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าวตลอดทั้งวัน นายสมชาย ในฐานะนายกรัฐมนตรี กับพวก ก็ไม่ได้สั่งระงับหรือยับยั้งการปฏิบัติการดังกล่าว

ส่วนเหตุการณ์สลายการชุมนุมของ นปช. นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กับพวก ได้มีการสั่งการโดยมีแนวทางการปฏิบัติ และเน้นย้ำการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทุกระดับตามขั้นตอน กฎและหลักการสากลในการสลายการชุมนุม และปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนและตามคำสั่งของศาลดังกล่าวข้างต้น ว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ.ต้องใช้มาตรการขอคืนพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยเจ้าหน้าที่ผู้รับคำสั่งจะต้องนำไปปฏิบัติโดยกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติเป็นลำดับชั้นต่อไป จนถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งมีผู้ควบคุมคือ ผู้บังคับกองพันในการปฏิบัติการจริงในพื้นที่นั้น การตัดสินใจในการใช้อาวุธ จะเป็นอำนาจโดยสายการบังคับบัญชาในการสั่งการของผู้บัญชาการกองพลว่าจะให้ทหารผู้ปฏิบัตินำอาวุธปืนพร้อมกระสุนจริงติดตัวจำนวนกี่กระบอกต่อกองร้อย โดยบางกองพลก็จะให้นำอาวุธปืนและกระสุนเก็บไว้ในรถไม่ได้นำติดตัว แต่หากมีการนำอาวุธติดตัวไปปฏิบัติการผู้ที่มีอำนาจในการสั่งใช้อาวุธคือ ผู้บังคับกองพันในพื้นที่รับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ในการแถลงข่าวได้นำตารางเปรียบเทียบเหตุการณ์สลายการชุมนุม ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 2551 และกลุ่ม นปช.ปี 2553 มาแสดงให้เห็น จำนวน 5 ประเด็น เพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่าง โดยระบุว่า เมื่อข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่ม นปช. มีความแตกต่างกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงพิจารณาวินิจฉัยคดีไปตามข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันดังกล่าว แม้ต่อมาอัยการสูงสุดจะไม่รับดำเนินคดี และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษายกฟ้องนายสมชาย กับพวก ก็เป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของแต่ละองค์กรซึ่งสามารถแตกต่างกันได้ตามหลักของการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ คำกล่าวอ้างในประเด็นนี้จึงมีลักษณะเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน และผู้ร้องไม่ได้กล่าวอ้างพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวน

สำหรับพยานหลักฐานที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ได้แก่ 1.วารสาร “เสนาธิปัตย์” 2.คำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญา กรณีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.53 3.แผ่นบันทึกภาพและเสียง (CD) “รุมยิงนกในกรง” และ 4.แผ่นบันทึกภาพและเสียง (CD) “ยุทธการขอคืนพื้นที่ เมษา 53” คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า วารสาร “เสนาธิปัตย์” ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นไม่ใช่พยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริง เป็นแต่เพียงบทความทางวิชาการทหารเท่านั้น สำหรับคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพ และแผ่นบันทึกภาพและเสียงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างก็เป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสำนวนการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยด้วยแล้ว จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่เช่นกัน กรณีจึงต้องห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติไม่ยกสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีร่วมกันสั่งการในเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ถึงวันที่ 19 พ.ค.53 ขึ้นพิจารณาใหม่ เหตุหนังสือคำร้องทั้ง 3 ฉบับ ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวน ต้องห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกขึ้นพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ หากปรากฏพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญที่จะทำให้ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจหยิบยกสำนวนการไต่สวนดังกล่าว ขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทุกเมื่อภายในอายุความสำหรับกรณีดีเอสไอส่งสำนวนคดีอาญากรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ นายชาติชาย ซาเหลา นายสุวัน ศรีรักษา นายอัฐชัย ชุมจันทร์ นางมงคล เข็มทอง นายรพ สุขสิตย์ น.ส.กมนเกด อัคฮาด นายอัครเดช ขันแก้ว และการบาดเจ็บสาหัสของนายณรงค์ศักดิ์ สิงห์แม นายกิตติชัย แข็งขัน นายบัวศรี ทุมมา นายแอนดรู บันคอมพ์ นายเพิ่มสุข ใจเย็น นายสมร ใหมทอง จากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับกรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ กับพวก ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยและมีมติไว้แล้วว่า กรณีการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหาร และนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ในพื้นที่ใช้กำลังบังคับและใช้อาวุธปืน จนเป็นเหตุให้เกิดการบาดเจ็บ และเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมนั้น ให้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไปตามมาตรา 89/2 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

สำหรับเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งให้ดีเอสไอเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ตามนัยมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้างต้นนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. จะประสานและติดตามผลการดำเนินคดีของดีเอสไอเพื่อความเป็นธรรมแก่ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังแถลงข่าว นายณัฐวุฒิ ได้สอบถามเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า ในฐานที่เป็นมนุษย์ เชื่อหรือไม่ว่านี่คือความยุติธรรม โดยเลขาฯ ป.ป.ช.กล่าวว่า ข้อเท็จจริงและรายละเอียด อยู่ในสำนวนการไต่สวนแล้ว การพิจารณาคดีเป็นไปตามกฎหมาย ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ทั้งนี้ อยากให้นายณัฐวุฒิ ได้ศึกษาคำชี้แจงของ ป.ป.ช.และ ป.ป.ช.ไม่ตัดโอกาส ในการยื่นพยานหลักฐานใหม่ เราเปิดโอกาสให้ตลอดเวลา และที่ยื่นมาก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.ได้พิจารณาในทุกประเด็น

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “หัวใจผม ผมไม่เชื่อว่านี่คือความยุติธรรม ไม่อาจยอมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจในฐานะมนุษย์ ว่าผมยังมีสิทธิที่จะติดตามทวงถามความยุติธรรม อยากให้รู้ว่าผมเจ็บปวด เพราะรู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ว่า ป.ป.ช.จะไม่รื้อคดีนี้ วันนี้มาแบกรับความยุติธรรมร่วมกับคนตาย”

นายณัฐวุฒิ ยังตั้งข้อสังเกตถึง 2 เหตุการณ์ระหว่างการสลายการชุมนุมพันธมิตรฯปี 2551 กับ นปช.ปี 2553 โดยกล่าวว่า แม้ ป.ป.ช.จะบอกว่าการปฏิบัติตามหลักสากลนั้น เป็นที่ยอมรับ แต่ ป.ป.ช.ไม่ทราบหรือว่าการสลายชุมนุมปี 2551 รัฐบาลอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถออกคำสั่งได้ เพราะต้องหนีเอาชีวิตรอดจากการปิดล้อม แต่ปี 2553 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อยู่ในกรมทหารราบ 11 ซึ่งปลอดภัย และมีเหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นเดือน จนปรากฏการใช้อาวุธสงคราม จากนั้นได้ออกคำสั่งเขตการใช้กระสุนจริง นั่นจึงเป็นข้อแตกต่างที่ของการใช้ดุลพินิจของ ป.ป.ช.ที่เห็นว่ารัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติ แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติตามกฎหมาย

“ผมเคารพคำสั่งศาลแพ่งและศาลอาญา แต่ขณะนี้คดีก่อการร้ายที่มีแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง ถูกดำเนินคดียังอยู่ในชั้นศาล เพิ่งสืบพยานโจทก์ในศาลชั้นต้น ยังไม่พิพากษา และก่อนหน้านี้ ศาลได้พิพากษายกฟ้องกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าชายชุดดำไปแล้วหลายราย นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงใหม่ที่ ป.ป.ช.ต้องหยิบยกไปพิจารณาหรือ วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง เหตุการณ์คืบหน้า ป.ป.ช.จะไม่นำมาพิจารณาหรือ” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ที่ ป.ป.ช.ระบุว่าการสลายชุมนุมปี 2553 เพราะรัฐบาลต้องการรักษาความสงบของบ้านเมือง ถามว่าการใช้อาวุธสงคราม ประกาศใช้กระสุนจริง ปรากกฎอยู่ในข้อใดของหลักสากล หากบอกว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ แล้วนายกฯและรองนายกฯ มองไม่เห็นหรือว่าการปฏิบัตินั้นก่อให้เกิดความสูญเสียแล้ว แล้วได้มีคำสั่งของให้ปรับเปลี่ยนและยกเลิกการใช้อาวุธสงครามเป็นแก๊สน้ำตาหรือไม่ แต่กลับเพิ่มปฏิบัติการ กำลัง อาวุธที่ร้ายแรงขึ้นอีก

“ความสงบสุขของบ้านเมือง มันสร้างได้ด้วยการยิงคนมือเปล่าตายเกือบร้อยศพจริงหรือ ความสงบสุขของบ้านเมืองมันเกิดขึ้นเพราะคนตายเกือบร้อยศพ แล้วคดีไม่ถึงศาล มันสงบได้จริงหรือ ผมไม่อาจยอมรับได้ ผมพูดด้วยว่าเป็นมนุษย์ ที่มาไม่ได้แค้นนายอภิสิทธ์และนายสุเทพ ไม่ได้มาเพราะอาฆาตใครก็ตามที่ทำให้เกิดเหตุ แต่มาเพราะต้องการคำตอบจากประเทศนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นผมต้องตามหาความยุติธรรมที่ไหน ใครผิดใครถูกแล้วแต่ศาลจะวินิจฉัย ผมเพียงต้องการพาเหตุการณ์นี้ไปให้ถึงศาล เพียงต้องการสร้างหลักประกันว่าจากนี้ไปใครก็ตามที่มีอำนาจ จะไม่สามารถใช้กำลัง อาวุธสงคราม ปราบปรามทำลายชีวิตประชาชนได้อีกต่อไป และผมจำเป็นต้องรักษาเกียรติยศของคนตาย แต่ผมไม่ได้รับคำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่ความยุติธรรมหรือไม่ แต่ผมแน่ใจว่าเราจะได้เจอกันอีก” นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

นายณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า จากนี้จะพยายามรวบรวมพยานหลักฐานใหม่เพื่อยื่นตามกระบวนการอีกครั้ง แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้ พร้อมรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่ต่ำว่า 2 หมื่นรายชื่อ ยื่นต่อประธานรัฐสภาให้พิจารณายื่นต่อศาลฏีกา ตั้งกรรมการไต่สวนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยจะดำเนินการเมื่อมีรัฐบาลเลือกตั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image