การยืนยันว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ทุก เขตทั่วประเทศและได้รับเลือกเข้ามาไม่น้อยกว่า 50 คนของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทรงความหมาย
ไม่เพียงสะท้อนถึง “สถานะ”ในทางการเมืองของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
หากแต่ยืนยันถึง”สถานะ” ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ถ้อยความและประโยคทางการเมืองแบบนี้ นายเอนก เหล่า ธรรมทัศน์ กล้าพูดหรือไม่
ตอบได้เลยว่า “ไม่กล้า”
ที่ไม่กล้ามิใช่เพราะว่า นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ยังติดคราบและความเป็น “นักวิชาการ”
หากที่สำคัญที่ไม่กล้าเพราะไม่อยู่ใน”สถานะ”ซึ่งพูดได้เช่นนั้น
ใครที่ติดตามบทบาทและการให้สัมภาษณ์ของ นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ก็จะประจักษ์ในความเป็นจริง
เป็น “ลูก” ต่างหากที่ดึงและชวน”พ่อ”เข้ามา
ดังนั้น นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จึงดำรงอยู่ในสถานะอันเป็น “ผู้เยือน” ไม่ใช่ “ผู้เหย้า”
นี่ย่อมต่างจากกรณีของ “พรรคมหาชน”
ตอนนั้นเป็นการร่วมมือร่วมใจระหว่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ กับ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เพราะทั้งคู่แยกตัวออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์
กระนั้น แม้ นายเขมรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ จะอยู่ในจุดเป็นผู้ก่อตั้งพรรคมาแต่ต้น แต่ถามว่า นายเขมรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำในแบบ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้หรือไม่
คนที่พูดได้ในระดับส่งคนลงสมัครครบถ้วนทั้ง 350 เขตทั่วประเทศต้องเป็นคนรู้เส้นสนกลในทางการเงินของพรรค
ยิ่งฟันธงว่าจะได้ไม่น้อยกว่า 50 ยิ่งพูดลำบาก
ยิ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาพูดบ่อยครั้งมากเท่าใด ยิ่งเป็นการยืนยัน “สถานะ” อันดำรงอยู่ภายในพรรครวมพลังประชา ชาติไทย
ยืนยันว่า “สถานะ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เหนือกว่า นาย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ แน่นอน
ที่เรียกกันว่า “พรรคเทพเทือก” นั้น-ถูกต้องแล้วครับ
