อภิสิทธิ์ทางการเมืองอันพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้มา
ไม่เพียงแต่ท้าทายต่อคำสั่งคสช.ฉบับที่ 3/2558
หากแต่ยังทำให้พรรคการเมืองอื่นทั้ง “ใหม่” และ “เก่า”ทอด
ตามองด้วยความกังขา
การประกาศ”ดูด”กลางรีสอร์ตดัง จังหวัดเลย
การประกาศเดินสายพบ “ประชาชน” ไม่ว่าจะที่หาดใหญ่ สงขลา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในพัทลุง
ยิ่งกว่านั้นยังเปิด”คลับเฮาส์”เลี้ยงอดีต ส.ส. ส.ว.กว่า 100
พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย สามารถทำได้ หนทางแห่งการดูดเปิดโล่ง ผ่านตลอด
สภาวะลักลั่นในทางการเมืองเช่นนี้เกิดขึ้นในสภาพที่เพียงคนของ บางพรรคเปิดเวทีประเมินผล 4 ปีของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภา คม 2557
ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารบุกถึงที่ทำการพรรค
นอกจากนั้น แกนนำที่นั่งอยู่บนเวทีแถลงข่าวยังถูกแจ้งความ ร้องทุกข์กล่าวโทษจาก “คสช.” กล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
ขณะเดียวกัน บางพรรคการเมืองออกไปค้นหาข้อมูลและความคิดของประชาชนในบางพื้นที่
ฝ่ายความมั่นคงก็ส่งคนเข้าประชิด”ชาวบ้าน”
เมื่อเปรียบเทียบกับความสะดวก ราบรื่นที่พรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้รับความช่วยเหลือจากคสช.และรัฐบาล
บทสรุปที่เกิดขึ้นย่อมรวมศูนย์ไปยัง “ดับเบิล สแตนดาร์ด”
คล้ายกับว่าการเปิดไฟเขียวผ่านตลอดเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อพรรค พลังประชารัฐ หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทย
แต่ในระยะยาวก็ดำเนินไปอย่าง”อนิจจัง” คือ “ไม่แน่”
เพราะในยุคที่กระบวนการข่าวสารเปิดกว้างอย่างทุกวันนี้ไม่มีอะไรรอดหูรอดตาของประชาชนไปได้ ความฝังจำเหล่านี้ล้วนจำหลักอย่างหนักแน่น
จำหลัก หนักแน่น ต่อการตัดสินใจใน”วันเลือกตั้ง”
นั่นก็คือ จะเลือกพรรคพลังประชารัฐ จะเลือกพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือไม่
