ไม่ว่าการออกโรงของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าการออกโรงของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นเรื่องดี
ในเมื่อยืนยันว่าเป็นเรื่องของ “อุดมการณ์”
การประสานเสียงสนับสนุนของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จึงเป็นเอกภาพกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะว่ารวมศูนย์ไปยัง ความชอบธรรมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสืบทอดอำนาจ
เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมายังไม่เพียงพอก็มีความจำเป็นที่จะเป็นต่อไปอีก 4 ปี
นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง ณ เบื้องหน้าประชาชน
เมื่อเสียงหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเคยเป็นของ “ไอ้ห้อย ไอ้โหน” บางคนในสนช.หรือสปท.เปลี่ยนมาเป็นเสียงของ”นัก การเมือง”อาชีพ
การสดุดีคุณงามความดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในแบบของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือในแบบของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อาจเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
มาได้ยินจาก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาได้ยินจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ย่อมเป็นความแปลกใหม่
ชาวบ้านจึงต่างรอคอยจากอดีตคนของ “เพื่อไทย” บางคน
ไม่ว่าจะเป็น นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ไม่ว่าจะเป็น นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
เมื่อสดุดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำเนินไปอย่างไร
จะกล่าวถึงการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 อย่างไร
จะกล่าวถึง “รัฐประหาร” แบบไหน
ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
เพราะเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับ “อุดมการณ์”
หากบรรดา “นักการเมือง” อาชีพเหล่านี้ไม่เอ่ยถึงสถานการณ์ก่อนและหลังรัฐประหาร ล้วนเป็นเรื่องแปลกอย่างประหลาด
เพราะสัมพันธ์กับ”อุดมการณ์”อย่างแนบแน่น
การเปิดตัวของ “กลุ่มสามมิตร” และพรรคการเมืองในแบบพรรคพลังประชารัฐ และ พรรครวมพลังประชาชาติไทย จึงเป็นเรื่องที่เป็นผลดียิ่งในทางการเมือง
ทำให้รู้อย่างถ้วนทั่วว่า “ไผ เป็น ไผ” ใครจริง ใครปลอม
