เปิดใจชัดๆ กับ’ชูวิทย์’ สบู่ ขัน ต้องเตรียมไว้! ในคุกไม่มี 7-11

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร กับพวกรวม 131 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืนและกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลอื่นปราศจากเสรีภาพ ในคดีรื้อบาร์เบียร์ สุขุมวิท 10

ซึ่งในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้น ยกฟ้อง สำหรับนายชูวิทย์ แต่เมื่อคดีขึ้นมาถึงศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นจำคุกนายชูวิทย์ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา

และเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งท้ายที่สุด ศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปวันที่ 15 ต.ค. 58 เวลา 09.00 น. เนื่องจากมีจำเลย 8 คนไม่ได้เดินทางมาศาล ซึ่ง 4 คน ทราบหมายแต่ไม่เดินทางมาศาลตามนัดและไม่แจ้งเหตุ โดยหนึ่งในนั้นคือ พ.ต.ธัญเทพ ส่วนอีก 4 คน มีทั้งไม่ได้รับหมายศาล มีอาการป่วย และถูกคุมขังอยู่ที่อื่น

Advertisement

เนื่องจากคดีนี้ เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง หากศาลตัดสินว่า นายชูวิทย์ ผิดจริง ก็ไม่อาจรอลงอาญาได้ กระแสสังคมจึงเพ่งเล็งนายชูวิทย์ เป็นพิเศษ ว่าจะหนีหรือไม่ อีกทั้งวันที่ ศาลนัดอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมนั้น นายชูวิทย์ ยังเดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมด้วยขันน้ำ สบู่ และยาสีฟัน โดยบอกว่าไม่ได้ประชด หากแต่ต้องมีความพร้อมเสมอ

ในประเด็นดังกล่าว นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดใจกับ “มติชนออนไลน์” แบบชัดเจนว่า

“เวลาไปฟังคำพิพากษาเหมือนสมัยก่อนที่เป็นนักเรียนไปฟังผลสอบซึ่งเราจะประเมินสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเตรียมตัวไว้ก่อนอยู่เสมอไม่หวังสูงหรือหวังว่าจะรอดหากจะติดคุกก็ต้องติดคิดไว้ว่าคนเราติดคุกดีกว่าตายกันไป เพราะตายไปไม่ทันสั่งเสียนี่อยู่ในคุกยังสามารถสั่งงานได้ ลูกๆ มาเยี่ยมได้ หากชีวิตเราต้องเป็นอย่างนี้แล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ไม่ควรเสียเวลากับเรื่องที่แล้วๆมาต้องมองไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่าเราสอบตกเราต้องมองข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรให้ดี”

Advertisement

“ส่วนคนที่มองว่าการซื้อขัน ซื้ออุปกรณ์เพื่อเตรียมตัว หากต้องเข้าเรือนจำเป็นการประชดนั้น ถามว่าจะประชดทำไม เพราะการติดคุกคือเรื่องคอขาดบาดตาย ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาจำคุก 5 ปี เมื่อถึงชั้นฎีกาแล้ว ก็ต้องเตรียม ยาสระผม/แป้ง/สบู่ จะไปซื้อที่ไหน ราชทัณฑ์เขาล็อคห้องแล้ว ในคุก ไม่ใช่ว่าจะมี 7-11 ซึ่งผมมีคติประจำใจอยู่ว่าผู้ชนะคือผู้ที่เตรียมพร้อม”

ขณะที่บางคนลือกันไปว่าจะหนี ประเด็นนี้นายชูวิทย์ตอบว่า “ถามว่าหนีไปไหนเขมรเวียดนามอเมริกาใต้หนีไปก็ได้แค่ปีสองปีแล้วก็โดนจับมาอยู่ที่เดิม ฉะนั้น การยอมรับความจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด จึงภาวนาอยากให้พ้นช่วงนี้ไปไวๆ ผลจะออกมาบวกหรือลบก็น้อมรับ ในเมื่อเราเป็นคนไทยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย หากต้องไปอยู่ในเรือนจำจริงก็ต้องเตรียมพร้อม ฝากฝังการงาน มอบหมายงานให้คนนั้นคนนี้ทำ วันนั้นวางแผนไว้หมด ให้คนนั้นมาพบคนนี้ กันเจอตรงนี้ (ที่ศาล) แล้วไปคุยกัน รถออกจุดนี้ (ที่ศาล) มันมีแค่สองอย่างไม่ออกมาลบก็บวก”

“วันที่เดินทางไปศาล ในรถผม…ผมได้เตรียมกางเกงขาสั้น กางเกงใน เสื้อยืด ยารักษาโรค ยาดม ยาหม่อง ผ้าปิดตามาด้วย เพราะหลายคนไม่ทราบว่าในคุกมีการเปิดไฟตลอดเวลา ขนาดคุณพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ยังต้องขอผ้าปิดตา เพราะคนชินกับการนอนในความมืดไม่ถนัดหากต้องเจอแสง และข้างในนั้นอากาศก็คงจะร้อนหน่อยๆ เพราะไม่มีแอร์ เนื่องจากในปี 2546 เคยอยู่มาแล้ว 1 เดือน พอเรียนรู้ว่าข้างในมีอะไร ระหว่างที่เคยเข้ากับเข้าไปแล้ว กับคนที่เข้าไปใหม่จะไม่รู้ ภาษาคุกเค้าเรียกว่า รั่ว เดินเพ้อเจ้อไป เดินกลางแดด เดินไปเรื่อยเปื่อย เรียกว่า รั่ว”

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวนายชูวิทย์ มองว่าการไม่มีกิน ยังดีกว่าการไม่มีเสรีภาพ ต่อให้มีหูฉลาม ยังไงก็ไม่อร่อย

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ยังบอกอีกว่า หลังจากนี้จะไปทำบุญด้วย “ถ้าเราหาทางออกไม่ได้ ก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนบอกให้ไปปล่อยสัตว์ใหญ่ มันเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้นแหละครับ เพราะมันจะทำให้ใจเรานิ่ง เราต้องเผชิญกับความจริง ผมเห็นใจทุกคน รวมทั้งผมด้วย ที่ต้องเผชิญกับช่วงนี้ บางคนเดินไประเบียง บางคนคว้ายา นี่ล่ะครับ เป็นช่วงที่เราต้องทำใจนิ่งที่สุด ต้องมีความสุขกับความเป็นจริงในปัจจุบัน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image