บทนำ : ปัญหาขยะพิษ

เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ประธานคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนเมือง ในคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนช. ได้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี เรื่อง “มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาขยะพิษ” ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมา ขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้เพิ่มปริมาณขึ้นในประเทศไทย จากปีละ 60,000 ตัน ขณะนี้มาถึง 1 ล้านตันแล้ว โดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากต่างประเทศ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยตรวจสอบและพบว่ามีขยะอิเล็กทรอนิกส์จาก 35 ประเทศที่ส่งมาทิ้งในประเทศ อ้างว่านำเข้ามารีไซเคิล

พล.อ.นิพัทธ์ตั้งข้อสังเกตและคำถามว่า กระบวนการนำเข้าเศษชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นขยะพิษ และยากต่อการกำจัด รัฐบาลมีมาตรการต่อการนำเข้าขยะพิษหรือไม่อย่างไรบ้าง และต่อปัญหาที่เกิดขึ้น กรมโรงงานอุตสาหกรรมในฐานะผู้ออกใบอนุญาต และกรมศุลกากรในฐานะผู้ตรวจ ปล่อยสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะมีมาตรการในการป้องกันและควบคุมในการนำเข้าอย่างไร รวมไปถึงเศษชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้ามาแล้วนั้น ขณะนี้รัฐบาลมีมาตรการส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง หรือจะมีวิธีการจัดการทำลายโดยไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้หรือไม่ อย่างไร

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตอบกระทู้แทน โดยนายสมชายระบุว่า ในกรณีที่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอนุสัญญาบาเซล และภายใต้กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ไทยได้ควบคุมตั้งแต่ก่อนเข้าประเทศ โดยต้องขออนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนนำเข้า และจะต้องได้รับแจ้งคำยินยอมจากกระทรวงเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน ผู้นำเข้าถึงจะขออนุญาตจากกรมโรงงานได้ต่อไป ทั้งนี้มีการอนุญาตเฉพาะเพื่อเป็นวัตถุดิบในกระบวนการของโรงงานเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำเข้ามาเพื่อขายหรือจำหน่าย และให้นำเข้าในปริมาณที่จำเป็น หากพบว่าการนำเข้าใดไม่เป็นไปตามอนุญาตกรมศุลกากรจะทำการผลักกลับประเทศต้นทางทันที

เรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ หากปฏิบัติได้ตามที่รัฐบาลชี้แจง น่าเชื่อว่าปัญหาขยะพิษคงไม่เกิดขึ้น เพราะกระทรวงอุตสาหกรรมต้องคำนวณปริมาณ และวิธีการจัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ขณะนี้มีปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ประดังเข้ามาในไทยจนดูเหมือนว่าไทยจะกลายเป็น “ถังขยะพิษ” ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่ส่งผลดีต่อพลเมือง แสดงว่าแนวนโยบายที่รัฐบาลกำหนด กับสิ่งที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติเริ่มมีปัญหา สมควรที่ภาครัฐจะกลับไปสอดส่องตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อมิให้ไทยกลายเป็น “ถังขยะพิษ” และไม่ให้พิษจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ทำร้ายบั่นทอนชีวิตคนไทย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image