ยิ่งวันปัญหาอันเนื่องแต่กรณี “บ้านป่าแหว่ง” จะยิ่งฉายชัดให้เห็นว่าจุดเริ่มต้นของ “ปัญหา” มาอย่างไร
เริ่มจากคำถามว่าทำไมต้องขอ “คืนพื้นที่”
เพราะการที่คสช.โดยกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 3 เริ่มถอยเท่ากับเป็นการยอมรับ
การประชุมเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนั่นแหละคือ”คำตอบ”
คำตอบที่ว่าจะต้องมีการคืนพื้นที่ก่อสร้างไปยังกระทรวงการ คลังและมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามารับผิดชอบร่วมกับประชาชน
ภารกิจเฉพาะหน้าก็คือ การฟื้นฟูป่าให้กลับสู่สภาพเดิม
คำถามก็คือ เหตุใดจึงยังไม่มีความคืบหน้า
ความไม่คืบหน้าก็เป็นอย่างที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมติ ครม.ให้เข้ามารับผิดชอบในการบริหารยอมรับ
นั่นก็คือ มีคนเข้าไปพักอาศัยใน”บ้านป่าแหว่ง”
ประเด็นการเข้าพักอาศัยในพื้นที่อันเป็นตัวปัญหานี้มิได้ยาก ลำบากในการหาข้อเท็จจริง
เพราะล้วนเป็น”ข้าราชการ” ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้น “ผู้ใหญ่” ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้น “ผู้น้อย” มีพยานวัตถุ มีพยานบุคคลเป็นที่ประจักษ์
แม้ในเบื้องต้นรัฐบาลเองไม่ได้ยอมรับ แต่เมื่อมีหลักฐานทั้งภาพและเสียงปรากฏอย่างพร้อมมูล ก็มิอาจปัดปฏิเสธได้
นี่ย่อมเป็นเรื่องโดยการปล่อยปละละเลยของ”รัฐบาล”
การที่มีประชาชนมาร้องเรียนและนำหลักฐานมายืนยันก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าได้มีการละเมิดข้อตกลงอย่างไร
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากทางด้าน”รัฐบาล”
แทนที่จะตำหนิบทบาทของ”ภาคประชาชน”รัฐบาลควรขอบคุณและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงออกอย่างเต็มที่
เพราะว่าเป็นการแสดงออกในลักษณะ”รักป่า” รักท้องถิ่น
เพียงแต่ว่าทางด้านรัฐบาลจะบริหารจัดการกับ “ความขัดแย้ง” อันเกิดขึ้นแล้วอย่างไร ทุกอย่างจึงจะเป็นไปตามที่รัฐบาลได้ให้ “คำมั่นสัญญา” เอาไว้
คำมั่นอันเป็น “สัญญาประชาคม” ต่างหากที่สำคัญ