ไม่ว่าจะเป็นการออกมาพูดของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ในเรื่อง การพบและแลกเปลี่ยนความเห็นกับ นายสุพล ฟองงาม
ไม่ว่าการออกมาของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
ล้วนเป็นเรื่องดีและทำให้ภาพ “ครม.สัญจร”อันถี่ยิบในห้วงปี 2561 มีความแจ่มชัดขึ้น
กรณีของ “อุบลราชธานี”ถือเป็น”กรณีตัวอย่าง”
เหมือนกับเป้าหมายจริงๆ คือการจัดประชุมเพื่อนำไปสู่การอนุมัติเงินงบประมาณกว่า 50,000 ล้านบาทในพื้นที่ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร แต่กรณีของ “พลังดูด”ก็มาแย่งชิง”พื้นที่”ไป
พลันที่ภาพ นายสุพล ฟองงาม นำทีมอดีตส.ส.อดีตส.ว.และนักการเมืองท้องถิ่นออกมายืนรอต้อนรับครม.
เสียง “อ๋อ”ก็ดังกระหึ่มจากทุกมุมเมือง
การที่อดีตส.ส.จะแสดงตัวเข้าร่วมกับ “กลุ่มสามมิตร”หรือพรรคพลังประชารัฐมิได้เป็นเรื่องแปลก
สามารถเกิดขึ้นได้
เพียงแต่เป้าหมายและทิศทางของ”กลุ่มสามมิตร”และพรรค พลังประชารัฐประกาศอย่างเด่นชัด
1 อาศัยคำว่า”ประชารัฐ”มาเป็นสโลแกน
1 อาศัยกำลังจาก”พลังดูด”อดีตส.ส.มาเป็นฐานใหญ่ในทาง การเมืองเพื่อต่อท่อแห่งอำนาจให้กับคสช.
นั่นก็คือ สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อ “พลังดูด”เคลื่อนไหวอย่างประสานกันไปกับ “ครม.สัญจร” จึงย่อมได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง
เพราะเท่ากับเป็นภาพแห่งการหาเสียง
เพราะเท่ากับเป็นภาพแห่งการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินไปเป็นส่วนหนึ่งแห่ง “พลังดูด”
“ภาพ”เหล่านี้สะสมอยู่ในความรู้สึกของ”สังคม”
ณ วันนี้ คสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจดื่มด่ำอยู่กับความสำเร็จที่สัมผัสได้จาก “ครม.สัญจร”
แต่พลันที่ปี่กลอง”การเลือกตั้ง”เริ่มขึ้น ปรากฏการณ์ของ ณ วันนี้ จะกลายเป็นอาหารอันโอชะในทางการเมือง นำไปสู่การแยกจำแนกกลุ่มและฝ่ายทางการเมืองขึ้นโดยอัตโนมัติ
กลายเป็น”สินค้า”ที่วางแบ ณ เบื้องหน้า “ประชาชน”