อาการของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำกลุ่ม 3 มิตรที่ให้สัมภาษณ์ล่าสุด แสดงความอ้ำอึ้งกับทิศทางของตัวเอง
อ้ำอึ้งด้วยลีลาทางการเมืองอันเชี่ยวชาญ หลังได้ฟังคำถามกลุ่ม 3 มิตรจะไปตั้งพรรคใหม่
“ไม่มี ไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องไปตั้งพรรคอื่นไม่ต้องคิด”
แล้วตามมาด้วย
“ส่วนจะอยู่พรรคพลังประชารัฐหรือไม่นั้นถึงเวลาก็จะทราบเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่สะเด็ดน้ำ”
นายสมศักดิ์กล่าวถึงกรณีนี้หลังจากที่เคยมี “แหล่งข่าว” โยนหินถาม มาก่อนหน้า
แล้วหลังจากนั้นบรรดาแกนนำของ 3 มิตรก็ลดทอนถ้อยคำที่เคยเน้นย้ำว่า จะผนึกกับพรรคพลังประชารัฐ
ผิดกับเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้านี้ที่กลุ่ม 3 มิตร ตระเวนพบปะและดึงอดีต ส.ส.เข้าร่วม
ยามนั้นมีแต่กระแสข่าวว่า นายสมศักดิ์ และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำ จะนำกลุ่มอดีต ส.ส.เข้าพรรคพลังประชารัฐ
กระทั่งบัดนี้ กระแสของกลุ่ม 3 มิตรเริ่มติดลมบน คำมั่นที่เคยตอกย้ำเริ่มมีแต่สัญญาณ “ไม่สะเด็ดน้ำ”
ลักษณาการเยี่ยงนี้ เปรียบเหมือน การต่อรอง
ตามกติกาที่รัฐธรรมนูญกำหนด แล้วมี พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ มาขยายผล ชี้ให้เห็นแนวทางขึ้นสู่อำนาจ
เมื่อ คสช. ยอมลุกจากเก้าอี้ “รัฐประหาร” และใช้หนทาง “การเลือกตั้ง” เพื่อขึ้นสู่อำนาจอีกครั้งในรูปแบบประชาธิปไตย
เมื่อรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาด้วย “แม่น้ำ 5 สาย” ของ คสช. บัญญัติให้รัฐสภา ประกอบด้วย วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรร่วมกันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
การเดินเข้าสู่ความสำเร็จ จึงต้องพึ่งพาบุคคลใน 2 สภาดังกล่าว
สำหรับวุฒิสภา กฎกติการะบุให้เป็นอำนาจของ คสช. ในการคัดเลือก
ใครที่ต้องการเป็น ส.ว. ต้อง “วิ่ง” เข้าหาขั้วอำนาจปัจจุบัน
ส่วนสภาผู้แทนราษฎรนั้น จำเป็นต้องมีพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองที่ให้การสนับสนุน
พรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุน หากต้องการผลักดันให้ คสช. อยู่ในอำนาจต่อตามระบอบประชาธิปไตยก็จำเป็นต้องมี ส.ส.ในสภามาก
ทางเลือกที่ผ่านมามีทั้งอาศัยพรรคการเมืองเดิม ซึ่งปรากฏว่าไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าใดนัก
ทางเลือกต่อมาจึงเป็นการตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยมีชื่อพรรคพลังประชารัฐ โด่งดังอยู่ในขณะนี้
และต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคนี้ดังขึ้นมา เป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 มิตร
กลุ่ม 3 มิตรที่เป็นกลุ่มการเมืองเก่า แต่รวมตัวกันใหม่โดยดึงเอาอดีต ส.ส.ร่วม
เป้าหมายเพื่อร่วมรัฐบาล
เป้าหมายของกลุ่ม 3 มิตรต้องการร่วมรัฐบาล ขณะที่
“พลังประชารัฐ” ต้องการเป็นรัฐบาล
การต่อรองจึงเริ่มมีขึ้น
การต่อรองทางการเมืองถือว่าเป็นเรื่องปกติ และเกิดขึ้นมาโดยตลอด
เมื่อปี 2557 หลังการรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ
พลังทางการเมืองมีน้อย การต่อรองจึงไม่เกิดขึ้น
แต่ในปี 2561 เมื่อการเลือกตั้งกำลังคืบคลานเข้ามา กฎกติกาการขึ้นสู่อำนาจตามวิถีประชาธิปไตยถูกกำหนดขึ้น
กลุ่มพลังทางการเมืองต่างๆ ที่เข้มแข็งขึ้น ย่อมต้องเคลื่อนไหว และต่อรอง
ยิ่งการเลือกตั้งต้องพึ่งพา “อดีตผู้แทนฯ” ยิ่งทำให้พลังของอดีต ส.ส. มีมากขึ้น
มีมากขึ้นพอที่จะต่อรองกับ คสช.ได้
กรณี ครม.สัญจร อุบลราชธานี ที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปพบกับ นายสุพล ฟองงาม อดีต ส.ส.อุบลฯ พรรคเพื่อไทย ก็สะท้อนให้เห็น
“ก็ได้เจอกับ นายสุพล และก็ต้องไปถามเขาเองว่าตัดสินใจอยู่พรรคการเมืองแล้วหรือไม่
ได้พูดคุยกันด้วยความห่วงใย แต่การเมืองเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งเราอยากให้มีการดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่อง
ซึ่งก็เคยพูดคุยหารือกับนักการเมือง เนื่องจากต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า”
การเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น จึงมีการต่อรองกันหลายกลุ่มหลายก๊วน
แรกๆ อาจจะเห็นความเคลื่อนไหวของฝ่าย คสช. และพรรคการเมืองที่สนับสนุน คสช.
แต่หลังๆ จะเห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่มีลักษณาการเดียวกัน
นั่นคือ แย่งชิงตัวอดีต ส.ส.
ระยะหลังจึงมีข่าวพรรคเพื่อไทย “ดูดกลับ” และมีข่าวการไหลเข้าพรรคเพื่อไทยด้วย
กรณีกระแสข่าว นายประดิษฐ์ และ นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ นักการเมืองระดับบิ๊กที่ว่าอาจเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยนั้น แม้จะมีเสียงปฏิเสธมาแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮาไม่น้อย
ต่อมา นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความเปิดตัว
ผละจากพรรคประชาธิปัตย์เข้าสู่อ้อมกอดพรรคเพื่อไทย
“ผมขอโทษท่านและน้องสาวท่านด้วยนะครับที่เคยต่อสู้กับท่าน แต่เมื่อความจริงปรากฏ ความอยุติธรรมและเผด็จการปกครองครอบงำประเทศ ประชาชนเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบาก สิทธิเสรีภาพสูญสิ้น ชาติบ้านเมืองของเราบอบช้ำ เข้าขั้นวิกฤต
ผมจึงขออนุญาตมาร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับท่าน ขอร่วมสู้กับท่านและเหล่าวีรชนฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อนำพาประเทศไทยของเราให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการ ที่กดขี่ข่มเหงพวกเรา
เดินทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเสมอภาค ความเจริญรุ่งเรืองเช่นอารยประเทศ”
ขณะนี้แม้การเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามา แต่กำหนดวันเวลาก็ยังไม่แน่นอน
การกำหนดวันล่าสุด คณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลกับพรรคการเมืองได้กำหนดเอาไว้คร่าวๆ จำนวน 4 ระยะ
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ วันที่ 31 มีนาคม วันที่ 28 เมษายน และวันที่ 5 พฤษภาคม 2562
ดังนั้น ในทุกๆ ระยะเวลาที่เคลื่อนเข้าหาวันเลือกตั้ง คือระยะเวลาที่กลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองกำลังฟูมฟักตัวเอง
ทั้งพรรคการเมืองใหม่ และพรรคการเมืองเก่า
ทั้งนักการเมืองใหม่ และอดีต ส.ส. ที่เคยเกรียงไกรในวงการการเมือง
ช่วงเวลานี้ การต่อรองระหว่างคนต่อคน กลุ่มต่อกลุ่ม คนต่อพรรค กลุ่มต่อพรรค และอื่นๆ ยังคงเข้มข้น
เป้าหมายการต่อรองหนีไม่พ้นผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่าย
จะพอใจ
ทั้งผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งผลประโยชน์ส่วนรวม
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเข้มข้น ฝุ่นตลบ !