รายงาน : ถอดรหัส‘นคร มาฉิม’ ขบวนการล้ม‘แม้ว-ปู’

แฟ้มภาพ

หมายเหตุ – นักวิชาการด้านสันติวิธี รัฐศาสตร์ และนักการเมืองวิเคราะห์กรณีนายนคร มาฉิม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ขอโทษนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต
นายกรัฐมนตรี ที่เคยร่วมอยู่ในขบวนการสมคบคิดล้มรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ

ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า

Advertisement

ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุที่นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.ปชป. ออกมาพูดอย่างนี้อาจเป็นเพราะว่าสถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้กำลังเป็นช่วงที่นักการเมืองมีการเปลี่ยนพรรคเปลี่ยนฝ่ายกันในหลายพื้นที่และเขาคงดูสถานการณ์แล้วว่าในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกที่กำลังจะลงเล่นการเมืองมีใครบ้างที่เป็นคู่ต่อสู้ และพยายามจะทำอะไรบางอย่างเพื่อจะให้ชนะการเลือกตั้ง ส่วนสาเหตุหรือจุดประสงค์ที่แท้จริงอาจจะพูดได้ยากว่าเป็นเพราะอะไร เพราะในจังหวัดพิษณุโลกเป็นเขตที่มี ส.ส.อยู่หลากหลาย มีแทบจะทุกพรรคและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ ไม่แน่ใจว่าเขาอาจจะต้องการเปลี่ยนพรรคหรือเปล่า

สำหรับเรื่องการร่วมกันล้มล้างที่กล่าวคิดว่าคำพูดของอดีต ส.ส.คนเดียวน่าจะไม่สามารถเปลี่ยนบริบทอื่นๆ ทางการเมืองได้ รวมถึงการเปิดทางให้ตระกูลชินวัตรกลับมาลงเล่นการเมือง เป็นเรื่องยากเพราะว่ายังมีคดีความต่างๆ ที่ยังติดค้างกันอยู่เยอะพอสมควร หรือถ้าตระกูลชินวัตรจะกลับมาเล่นการเมืองต่อจริงๆ ก็ต้องดูว่านายทักษิณและญาติพี่น้องของเขาจะกล้ายอมรับความเสี่ยงต่อจากนี้อีกหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็เกิดความเสียหายต่อวงศ์ตระกูลมากพอแล้ว ตัวอย่างที่เห็นก็มีอยู่จึงก็เป็นไปได้ยากที่ตระกูลชินวัตรจะยอมกลับมาเล่นการเมืองอีก แม้ทฤษฎีการล้มล้างทักษิณจะเป็นความจริงก็ตาม

ส่วนความน่าเชื่อถือของทฤษฎีนี้ จะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับนายนครเองว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไปอยู่พรรคไหนกันแน่ ซึ่งจะทำให้ความน่าเชื่อถือเหล่านั้นมีความชัดเจนมากขึ้น คือถ้าประกาศเช่นนี้แล้วยังคงภักดีอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่าสิ่งที่พูดออกมายังมีความน่าเชื่อถือได้ในส่วนหนึ่ง แต่ว่าถ้าเกิดประกาศออกมาอย่างนี้แล้วไปอยู่พรรคเพื่อไทยเลย ภาพมันก็จะเปลี่ยนไปอีกอย่างเลยทันที ซึ่งไม่ต้องคิดอะไรมากเพราะแสดงว่าการกระทำเหล่านี้เป็นความต้องการที่จะย้ายพรรคแน่นอน

ในฐานะที่เป็นคนกลาง อยากแนะให้ทุกฝ่ายลืมเรื่องราวที่ผ่านๆ มา การมุ่งร้ายเพื่อทำลายกันก่อนหน้านี้
ถ้าเกิดทุกคนยอมรับได้ว่าที่ผ่านมามันก็เป็นแค่เกมการเมือง ก็จะมีโอกาสที่จะนำไปสู่สันติวิธีได้ แต่วันนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทุกคนยังคงมุ่งโจมตีคิดร้าย ทำร้ายกันไม่หยุดและวันนี้มันไม่ใช่แค่นักการเมืองเก่าๆ
แต่ยังมีพรรคใหม่ๆ ออกมาด้วย ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าหน้าตาของการเมืองไทยในอนาคตมันจะออกมาเป็น
อย่างไร ซึ่งถ้าเขาหันมาเล่นการเมืองกันอย่างโปร่งใส เอาความจริงมาพูดใส่กันมันก็จะเป็นแนวทางของสันติวิธีมากขึ้น

หลังจากเหตุการณ์นี้คิดว่าการเมืองไทยน่าจะเริ่มมีคนแสดงตัวออกมาเพิ่มขึ้นว่าใครเป็นใคร ใครอยู่พรรคไหน ใครอยู่ฝ่ายไหน เพราะช่วงนี้ที่เป็นช่วงถ่ายโอนเปลี่ยนผ่านตัวนักการเมืองเยอะ นอกจากนี้ ถ้าหากมีการปลดล็อกให้มีการจัดกิจกรรมทางเมืองได้ เรื่องใครจะอยู่พรรคไหน ก็จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น


สุขุม นวลสกุล

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์

เรื่องที่นายนครออกมาพูดถึงเรื่องการล้มคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทย มองว่าไม่มีเบื้องหลังแต่อาจจะต้องการย้ายพรรค สำหรับการออกมาพูดในครั้งนี้ ก็มีหลายคนเห็นด้วยกับสิ่งที่กล่าวอ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเห็นด้วยทั้งหมด เพราะไม่ทราบว่าเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งนายนครเป็นผู้สมัคร ส.ส.เท่านั้น ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค น้ำหนักก็ไม่มาก รวมถึงมันเป็นเรื่องที่คนได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว แต่ครั้งนี้พอพูดจากฝั่งประชาธิปัตย์ มันก็ฮือฮาขึ้น หมายความว่าถ้าพูดในพรรคเพื่อไทยมันก็เหมือนเป็นเรื่องของฝ่ายตรงข้ามเล่นงานกัน เเต่พอพูดขึ้นมาประชาธิปัตย์ก็กระเทือน ซึ่งมองแล้วไม่ได้หวังผลทางการเมืองแต่น่าจะเป็นการย้ายพรรคมากกว่า

สำหรับประเด็นที่ว่าจะเป็นการปูทางให้ตระกูลชินวัตรกลับมาเล่นการเมืองหรือไม่ มองว่าไม่ได้มีการปูทาง เพราะทางฝั่งประชาธิปัตย์ก็เล่นการเมืองหวังชนะ ทางฝั่งนายทักษิณก็มีจุดมุ่งหมายว่าวันหนึ่งจะกลับประเทศไทยเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว และครั้งนี้ก็เป็นแค่ ส.ส.ท่านหนึ่งพูด ซึ่งปกติแล้วที่ผ่านมาได้ยินแต่ฝั่งเพื่อไทยย้ายพรรค แต่ครั้งนี้เป็นเพียงฝั่งประชาธิปัตย์ย้ายพรรคเท่านั้นเอง

วิรัตน์ กัลยาศิริ

หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

ขอยืนยันว่าพรรค ปชป.ยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย หลักกฎหมาย และความยุติธรรมไม่เคยไปกลั่นแกล้งใคร ถ้าอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทั้งศาลอาญา และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถต่อสู้คดีได้ โดยนายทักษิณก็สู้คดีในศาลมาโดยตลอด ดังนั้น พรรค ปชป.ไม่เคยเล่นนอกกติกา แต่ทำด้วยความยุติธรรม เพื่อสกัดกั้นการโกงทุกรูปแบบ การทุจริตเชิงนโยบาย การซื้อ ส.ส. ซื้อพรรค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผมยืนยันว่าพรรคเรามีอุดมการณ์ที่เหนียวแน่น ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยไปกลั่นแกล้งใคร ใช้กระบวนการยุติธรรมในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติมาตลอด ในเมื่อพรรค ปชป.ยืนหลักกระบวนการยุติธรรมมาตลอดแล้ว แต่ยังมีอดีต ส.ส.ที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่เงิน เห็นแก่ลาภยศ ก็มีบ้าง แต่ไม่ขอระบุว่าเป็นใคร ถ้าคนคนนั้นอยากจะเอาดีก็อย่ามาโยนขี้ใส่เพื่อน ทั้งนี้ คิดว่าการโพสต์ดังกล่าว พยายามหลบการใช้ถ้อยคำอยู่ ไม่ได้ใช้ความหมายตรงๆ ถึงพรรค ปชป.แต่ทางคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคจะตรวจการใช้ถ้อยคำอย่างละเอียดอยู่ว่ามีอะไรที่พาดพิง และกล่าวหาหรือไม่ แต่เราก็กำลังยับยั้งชั่งใจอยู่จะทำอย่างไรดี บางทีเราไม่อยากเอาอะไรไปแลกกับสิ่งไม่มีค่าเท่าใดนัก


ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

เมื่อมองย้อนเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2548 หากยอมรับความจริงต้องเห็นว่าสิ่งที่นายนครพูด เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา และอธิบายสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นได้ชัดเจนที่สุดในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ใช่วิกฤตที่เป็นไปด้วยธรรมชาติ แต่เป็นวิกฤตที่เกิดจากการสมคบคิด
แบ่งแยกบทบาทกันทำโดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือการทำให้ความนิยมและอำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยหายไป

เราจะเห็นสูตรการดำเนินการในการยึดอำนาจในปี 2549 และปี 2557 นั้นมีลำดับขั้นตอนเหมือนกันแทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครจะลองเอาเหตุการณ์ช่วงกลุ่มพันธมิตรชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้ง การเลือกตั้งมีปัญหาและเป็นโมฆะ จนถึงการเรียกร้องนายกรัฐมนตรีนอกรัฐธรรมนูญ จนในที่สุดก็มีการรัฐประหาร จะเห็นว่าเป็นโมเดลเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นโดยเจตนาและมีเป้าหมาย เว้นแต่เพียงว่าแผนการสมคบคิดนี้ยังไม่เคยบรรลุถึงเป้าหมายสุดท้าย ซึ่งคือการทำให้พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอีกฝ่ายหนึ่งว่าได้การยอมรับจากประชาชน ซึ่งเมื่อยังไม่บรรลุถึงเป้าหมายสุดท้าย ก็กำลังมีความพยายามกันอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดกติกาเลือกตั้ง เรื่องการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา แล้วมีปฏิบัติการดูด หรือการใช้อำนาจรัฐต่างๆ ในสนามเลือกตั้งเพื่อเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบให้ได้ ซึ่งภาพรวมสถานการณ์ ณ วันนี้ ยังไม่ได้ก้าวพ้นสิ่งที่นายนครพูดออกมา ยังอยู่ในห้วงเวลาเช่นนั้นอยู่

สำหรับสาเหตุการออกมาพูดลักษณะดังกล่าวนี้ เท่าที่ติดตามบทบาททางการเมืองของนายนคร มาจะพบว่าเขามีความเป็นตัวของตัวเองพอสมควร แล้วในระยะหลัง รวมถึงช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจด้วยซ้ำ ได้ตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์บทบาทการทำงานที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแนวทางด้านการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากความสะสมในใจของคนที่เป็นนักการเมือง ซึ่งมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในวิถีประชาธิปไตย เมื่อเห็นภาพนั้นในพรรคที่ตัวเองเคยสังกัดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง คงเกิดวิธีคิดที่อยากจะยุติการทำงานกับพรรคประชาธิปัตย์ และอยากจะสื่อสารความจริงอย่างตรงไปตรงมาต่อสังคม เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนและต่อระบบประชาธิปไตย
ส่วนจะหวังผลทางการเมืองหรือไม่นั้น หากมองย้อนไปในการเลือกตั้งเมื่อปี 2557 ซึ่งเป็นโมฆะในที่สุด ตัวนายนครก็ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์มาลงสมัครในพรรคการเมืองอื่นแล้ว ดังนั้น จึง
ไม่ถือว่าการออกมาพูดเช่นนี้ จะหวังผลอะไรเพิ่มเติม เพราะการเดินออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็เท่ากับว่าได้สรุปแนวทางการเมืองของตัวเองว่ามันไปต่อด้วยกันไม่ได้

แต่สิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการแสดงออกว่านักการเมืองคนหนึ่งมีภาระหน้าที่ในการร่วมรับผิดชอบต่อระบอบประชาธิปไตย หากพบเห็นสิ่งใดที่เป็นพิษภัย แล้วเห็นว่ามันกำลังมีการขับเคลื่อนเช่นนั้นกันอยู่ เพราะมันไม่ใช่แค่การบอกเล่า อีกนัยยะหนึ่งนั้นยังเป็นการกระตุ้นเตือนภัยกับสังคมไทย ว่าแผนการแบบนั้นมันยังคงอยู่ ถ้าเราเทียบเป็นบันได 4 ขั้นของ คมช.ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เคยประกาศ ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงนี้ที่มีความพยายามทำให้ไปถึงบันไดขั้นที่ 4 ซึ่งชุด พล.อ.สนธิทำไม่ได้ แล้วนั่นจึงถูกอธิบายว่าเป็นการรัฐประหารที่เสียของ

ดังนั้น การที่นายนครพูด ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ พวกผมและ นปช. แล้วอีกหลายคนก็พยายามอธิบายในมิติเหล่านี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการพูดโดยคนที่เคยเป็น ส.ส.ให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาหลายสมัยนั้น มันก็เพิ่มน้ำหนักต่อข้อเท็จจริงนี้ได้มากขึ้น และผมเข้าใจว่าประชาชนแม้แต่เป็นคนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เองก็ตาม ก็คงยากที่จะปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image