‘กษิต’ชวนชาวพุทธ คิดตาม หลังโป๊ปเปลี่ยนคำสอนคาทอลิก รับไม่ได้’โทษประหาร’

วันนี้ (3 ส.ค.) นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ไลฟ์สดทางเฟสบุ๊กแสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการยกเลิกโทษประหาร โดยระบุว่า

“การประหารชีวิตนักโทษ คนไทยทราบกันดี มีการทำโพลและแสดงความเห็นกันมากมาย โดยสรุปเสียงส่วนใหญ่อยากให้ไทยคงกม.ประหารชีวิตนักโทษที่กระทำการรุนแรง เช่นฆ่า ข่มขืน หรือยาเสพติด โดยเมื่อ 2-3 วันที่แล้ว โลกทางคริสตจักรมีความเคลื่อนไหว องค์สันตะปาปาได้ออกมาประกาศว่า ไม่ควรที่จะให้มีการประหารชีวิตใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ อันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคริสตจักรอย่างใหญ่หลวง เพราะตลอดร้อยปีที่ผ่านมายังมีการอะลุ้มอะหล่วย ให้คงการประหารชีวิต ในกรณีที่มันมีความรุนแรง แต่บัดนี้ องสันตะปาปา เสนอให้ไม่มีการประหารชีวิตใดๆทั้งสิ้น ด้วยเหตุผล การที่มนุษย์คนหนึ่ง จะไปเอาชีวิตมนุษย์อีกคนหนึ่งเป็นการไม่สมควร รัฐจะไปเอาชีวิตคนที่เคยฆ่าคนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเอาชีวิตคนอื่น โดยโลกของฝ่ายคริสต์ ไม่เอาด้วยแล้วกับการประหารชีวิตนักโทษใดๆทั้งสิ้น”

นายกษิต กล่าวต่อว่า “ทั้งนี้อดคิดไม่ได้ว่าแนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิดขององค์พระพุทธเจ้า ในเรื่องของศีล 5 เรื่องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงอยากฝากเป็นข้อคิดในสังคมไทย ว่าระบบกฎหมายอาญาของไทย ควรจะคงไว้ซึ่งการประหารชีวิตนักโทษที่ทำความผิดร้ายแรงหรือไม่ ส่วนตัวผมเองนับถือศาสนาพุทธและพยายามยึดมั่นในศีล 5 โดยเฉพาะการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นจุดยืนของตนจึงมีที่มา 2 ทางคือ แบบพุทธ ที่ละเว้นการฆ่าตัดชีวิตใดๆ และทางกฎหมายคือ กฎหมายควรสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ระบบธรรมเนียมประเพณีอยู่ด้วย เมื่อบอกว่าสังคมไทยเป็นสังคมพุทธ กฎหมายก็ควรที่จะอออกแบบมาให้ยุติการประหารชีวิตนักโทษ จึงขอให้ช่วยกันคิด ทบทวนใหม่ เพราะการไม่ประหารชีวิตใคร นอกจากไม่ใช่สิทธิ หน้าที่ หรือความชอบธรรมของคนในสังคม ยังเป็นเรื่องการแผ่เมตตา ให้คนทำผิดที่ได้เคยไม่เอาชีวิตคนอื่น นั้นได้สำนึกผิด ปรับปรุงจิตใจ รับสภาพบาปที่เขาได้ทำขึ้น และพยายามที่จะปรับตัวให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่มีอิสระเสรีอีกต่อไป แต่ต้องอยู่ในคุกในตะราง อยู่ในกฎ ต้องทำให้เขาสำนึกผิดให้ได้ เปลี่ยนให้เขาทำสิ่งที่ดีงามให้ได้ รวมถึงการอยู่ในคุกตลอดชีวิต ก็สามารถทำงานที่เป็นประโยชน์กับคุก และสังคมได้ นี่ก็เหมือนเป็นการล้างบาปไปในตัว เพราะฉะนั้นสังคมไทยเป็นสังคมที่ควรเอาเรื่องการละเว้นที่จะเอาชีวิตผู้อื่นมาเป็นตัวตั้ง ถึงจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง แต่การที่กฎหมายบ้านเมืองให้ประหารชีวิตคนได้ มันก็จะสวนทางกัน ที่สำคัญเราไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของใครทั้งสิ้น จะไปเอาชีวิตเขาไม่ได้ และแม้จะทำผิดพลาดไป เขาก็ควรได้โอกาสปรับตัว จิตใจ ใช้ชีวิตที่เหลือในคุกในการทำประโยชน์กับสังคม”

“เป็นเรื่องน่าดีใจอย่างน้อยวันนี้มี 2 ศาสนา หลักของโลกคือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และศาสนาพุทธ เห็นไปในทิศทางเดียวกัน ในการละเว้นการเอาชีวิตมนุษย์ และรักษาสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ได้ ให้มนุษย์มีหลักเมตตาเป็นสำคัญ คนทำผิดต้องรับเคราะห์กรรมของตนเอง ไปตามครรลองกฎหมายบ้านเมือง แต่เราไม่อยู่ในฐานะที่จะไปทำลายชีวิตของเขา นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างสังคมไทย ให้เป็นสังคมแห่งการรักษาชีวิต เป็นเมืองพุทธ ที่เน้นการอภัย มีเมตตา ให้โอกาสคนทำผิด ได้กลับตัว ดำรงชีวิตที่ดีขึ้นได้” นายกษิต กล่าวทิ้งท้าย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image