ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ พร้อมออกกฎเหล็ก ทั้งประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 ที่ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจการทางการเมือง และคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ที่ยังห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
กฎเหล็กดังกล่าว เพื่อไม่ให้นักการเมืองและพรรคการเมืองขยับตัวประชุมพรรค แอ๊กชั่นทำกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างเสรี
เมื่อช่องทางตามกฎหมายปกติยังไม่มีการปลดล็อกจาก คสช.ให้นักการเมืองได้หายใจหายคอ ออกแอ๊กชั่นปล่อยของขายนโยบายของแต่ละพรรคได้อย่างถูกกฎหมาย
สื่อโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก เฟซไลฟ์ อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ ไลน์ จึงเป็นทางเลือกเดียวและเป็นทางเลือกที่น่าจะดีที่สุดในเวลาของนักการเมืองและพรรคการเมือง เพื่อใช้สื่อสารกับสาธารณะ ด้วยข้อดีนานัปการทั้งไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา สถานที่ ไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งยังแพร่หลายได้รวดเร็ว ส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย (หรือแม้แต่กลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมาย เช่น ฝ่ายตรงข้าม)
บรรดาพรรคและนักการเมืองระดับเซเลบจึงอาศัยช่องทางโซเชียลมีเดียดังกล่าวในการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวใน โลกเสมือน ที่จับต้องเสียงตอบรับได้ใน โลกแห่งความเป็นจริง โดยเนื้อหา รูปแบบ รายการของแต่ละพรรคในช่องทางโซเชียลมีเดียนั้น จะมีแกนนำและฝ่ายกฎหมายของแต่ละพรรคร่วมกันรับผิดชอบ ในการสกรีนทั้งเรื่องความน่าสนใจ และเนื้อหาที่ไม่ให้ขัดต่อกฎหมาย
เริ่มจากพรรคเก่าแก่อย่าง ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มีเพจประจำพรรคชื่อ Democrat Party, Thailand ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2555 มียอดผู้ติดตามมากกว่า 650,000 คน ในปัจจุบัน ภาพรวมของเพจเน้นรายงานภารกิจของบุคคลภายในพรรคเป็นข่าวสั้นๆ พร้อมภาพประกอบ มีถ่ายทอดสดหรือไลฟ์ (Live) บ้างเป็นครั้งคราว ตามที่่มีวาระสำคัญ
กระทั่งปี 2559 จึงเริ่มมีการแชร์รายการ ต้องถาม ที่ออกอากาศทางช่องฟ้าวันใหม่ บนหน้าเพจพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมี หัวหน้ามาร์ค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นผู้ตอบคำถามประเด็นต่างๆ ที่ชงให้โดยพิธีกรคนคุ้นเคยอย่าง เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยยอดการรับชมถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ คือปลายหลักพันไปจนถึงต้นหลักหมื่นคน
ส่วนพรรคใหญ่ที่ครองเสียงข้างมากในสภา อย่าง เพื่อไทย (พท.) ก็จะมีทั้ง เว็บไซต์ เพจเฟซบุ๊ก ไอจี และอินสตาแกรมของพรรค พท. โดยเพจเฟซบุ๊กมีผู้ติดตาม 122,446 คน จะเน้นการสื่อสารกับประชาชน ตามที่แกนนำพรรคต้องการสื่อสาร เช่น ออกแถลงการณ์พรรค การสื่อสารในวันสำคัญๆ ต่างๆ ในนามพรรค พท. จะมีแกนนำพรรคและทีมกฎหมายร่วมกันพิจารณาก่อนนำเสนอ ขณะที่อดีต ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรค พท.จะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่จะเผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียกันเอง
ขยับมาที่พรรคขนาดกลาง แต่รัศมีร่วม (ทุก) รัฐบาลอยู่ในอันดับต้นอย่าง ภูมิใจไทย (ภท.) ของ เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ที่ขยันโชว์วิชั่นตามสไตล์นักธุรกิจและนักการเมืองมากประสบการณ์ผ่านเพจ Ringside การเมือง ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 มียอดผู้ติดตามกว่า 25,000 คน โดยเพจดังกล่าวนิยามตัวเองว่าเป็น สำนักข่าวทางเลือก เพื่อนำเสนอข่าวอย่างหลากหลาย จากนักการเมือง นักวิชาการ กูรูด้านรัฐศาสตร์ รูปแบบเป็นการไลฟ์สด มีพิธีกรหลักประมาณ 2-3 คน ผลัดเปลี่ยนมาดำเนินรายการ มีแขกรับเชิญทั้งนักวิชาการและนักการเมือง (ที่ส่วนใหญ่มาจากพรรคภูมิใจไทย) หมุนเวียนมาพูดคุยและตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการเมืองและนโยบายด้านต่างๆ
ซึ่งแม้ยอดผู้ติดตามอาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับเพจการเมืองอื่นๆ แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า แม้แต่พรรคมีเดียมไซซ์อย่างภูมิใจไทยก็ไม่มองข้ามกระแสในโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ปล่อยให้โอกาสจากการหยิบฉวยเทคโนโลยีเพื่อวัดฟีดแบ๊กจากประชาชนกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้หลุดมือไป
เปลี่ยนฝั่งมาดูพรรคน้องใหม่ที่ดูจะฮอตฮิตที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ อย่าง อนาคตใหม่ (อนค.) ซึ่งมีเพจ อนาคตใหม่ – The Future We Want และ เพจ Thanathorn Juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจผู้เป็นว่าที่หัวหน้าพรรค
ทั้งที่เพจเพิ่งเปิดได้เพียง 3-4 เดือน แต่ยอดผู้ติดตามรวมกันมีกว่า 140,000 คน อย่างไรก็ตาม ในจำนวนนี้อาจมาจากผู้ใช้
เฟซบุ๊กบัญชีเดียวกัน จึงไม่อาจการันตีตัวเลขผู้ติดตามที่แน่นอนของพรรคสีส้มได้ ส่วนที่เพจอนาคตใหม่ฮอตฮิตขึ้นมาในช่วงนี้ เพราะทั้งสองเพจเพิ่งกลายมาเป็นคู่กรณีกับ คสช. ถูกฝ่ายกฎหมายของ คสช.แจ้งความในข้อหานำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ สร้างความตื่นตระหนก ยุยง และเป็นภัยต่อความมั่นคง ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560
เนื่องจากการจัดรายการ คืนวันศุกร์ให้ประชาชน จนเป็นข่าวโด่งดังเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ว่าที่หัวหน้าพรรคเจ้าของฉายา ไพร่หมื่นล้าน ยืนยันเรื่องนี้ด้วย 4 ไม่ คือ ไม่กลัว ไม่น่ากระทบต่อชื่อเสียงของตนหรือต่อพรรค ไม่ได้ทำผิดกฎหมายชุมนุมเกิน 5 คน และไม่ปรับเนื้อหารายการ และพร้อมสู้คดีตามกฎหมาย
พูดถึงพรรคอนาคตใหม่แล้ว จะลืมเอ่ยถึงพรรคขั้วตรงข้ามอย่าง รวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่มีลุงกำนัน
สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งแท่นเป็นกุนซือใหญ่คงไม่ได้
แม้ขณะนี้พรรค รปช.จะยังไม่มีเพจอย่างเป็นทางการของพรรค แต่ก็มีช่องทางสื่อสารให้แฟนคลับลุงกำนันสุเทพให้หายคิดถึง เพราะยังมีเพจเฟซบุ๊ก Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ที่ออกมาเรียกเรตติ้งอยู่เป็นระยะ ด้วยดีกรีนักการเมืองเขี้ยวลากดิน ที่เคยนั่งเป็นทั้งอดีตเลขาพรรค ปชป. และอดีตเลขาธิการ กปปส.ที่มีมวลมหาประชาชนสนับสนุนเรียกหา ลุงกำนัน กันทั้งบ้านทั้งเมือง ก่อนที่ทหารจะ จำเป็นต้องรักษาความสงบ ด้วยการรัฐประหารปี 2557
จึงไม่น่าแปลกใจที่เพจของนายสุเทพ กุนซือใหญ่แห่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย จะมียอดผู้ติดตามสูงลิ่วมากกว่า 2.7 ล้านคน ทำให้ยอดการรับชมไลฟ์แต่ละครั้งของเขาสามารถแตะหลักแสนคนได้ไม่ยากเย็น
ซึ่งนายสุเทพยอมรับว่า ในเมื่อกฎหมายยังไม่อนุญาตให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้ตามปกติ การติดต่อสื่อสารกับพี่น้องประชาชนทั้งในส่วนของ กปปส.และผู้สนับสนุนพรรค รปช.จึงต้องใช้ช่องทางผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวไปก่อน อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ในยุคโซเชียลมีเดียได้ง่ายขึ้นด้วย
ดังนั้น ช่องทางการสื่อสารผ่านโลกโซเชียลของนักการเมืองและพรรคการเมือง ในห้วงที่เต็มไปด้วยสารพัดกฎเหล็กห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง
ส่วนเพจของพรรคไหน คนใด จะโดนใจคงต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน…