เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคปชป. กล่าวว่า ต่อกรณี มีการสวมสิทธิโกงเงินผู้ยากไร้ในต่างจังหวัด เริ่มจากที่จังหวัดขอนแก่นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นมา พยายามที่จะบอกกับรัฐบาลว่าการที่จะเอาความผิดกับผู้กระทำความผิดก็ทำไปตามกระบวนการ แต่ขณะเดียวกันผู้ยากไร้ด้อยโอกาสที่ถูกโกงเขาเสียสิทธิการรับเงินช่วยเหลือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขา ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องหาทาง มาตรการเยียวยาให้เขาได้รับสิทธิ์เหมือนที่เขาควรจะได้รับทำคู่ขนานไปกับการค้นหาผู้ผิดจริงๆ มันเริ่มตั้งแต่จ.ขอนแก่นอละทุกจังหวัดที่ตกเป็นเหยื่อ
“ที่สุดเราก็เห็นแล้วว่าข้าราชการของพม. นับตั้งแต่อดีตปลัดกระทรวง กระทรวงเจ้าหน้าที่ต่างๆมีส่วนรู้เห็นจึงได้รับโทษและก็เข้าใจว่า มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่โดนคดีนี้แล้วกินยาฆ่าตัวตาย ในขณะเดียวกันเหยื่อของการทุจริตครั้งนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยา ชดใช้ ดิฉันได้เรียกร้องให้รัฐบาล มาตรการในการเยียวยาผู้ยากไร้และผู้ไม่มีที่อยู่นี้ตั้งแต่เริ่มกรณีคดีนี้ขึ้น จนบัดนี้ผ่านไปแล้ว 4-5 เดือนรัฐบาลก็ไม่นำพา ประชาชนที่เป็นเหยื่อถูกสวมสิทธิถูกทุจริตคอร์รัปชั่นจากข้าราชการก็ต้องได้รับการเยียวยาให้ทันท่วงที เพราะว่าคนจน เงินไม่กี่พันบาทมีความหมายกับครอบครัวและความเป็นอยู่ของ เขาอย่างมากมาย จึงอยากจะเรียกร้องอีกสักครั้งขอให้รัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบหรือผู้ที่มีอำนาจช่วยกรุณาเมตตาผู้ยากไร้ที่เป็นเหยื่อของการทุจริต แล้วดิฉันจะติดตามนะคะว่าเมื่อไหร่รัฐบาลหรือผู้ปกครองประเทศจะมีเมตตาต่อคนยากจนคนยากไร้ที่ถูกโกงเงิน” คุณหญิงกัลยา กล่าว
คุณหญิงกัลยากล่าวว่า การทุจริตเกิดขึ้นได้หลายระดับแต่รัฐบาลก็ทราบแล้วเพราะติดตั้งเอาคนผิดมาลงโทษไปแล้ว แต่ว่าเงินยังไม่ได้ฟ้องแพ่งเพื่อจะเอาเงินกลับคืนมาใช้คืนรัฐบาล ซึ่งเรื่องตามกระบวนการนี้ก็ดำเนินไปตามระเบียบ กฎหมาย แต่รัฐบาลซึ่งมีอำนาจล้นมือเป็นรัฏฐาธิปัตย์มีกฎหมายพิเศษด้วยยิ่งสามารถตัดสินใจได้เร็วกว่าปกติ เพราะถ้าเป็นครม.ปกติก็สามารถใช้ระเบียบในวาระประชุมพิจารณาได้เช่นกัน เป็นอำนาจของนายกฯ และ ครม.
“เริ่มจากเจ้ากระทรวงพม.สามารถที่จะนำเสนอหยิบยกเรื่องนี้มาเสนอ ครม. ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าเป็นคนที่ทราบเรื่องมาตลอด แล้วก็หาผู้กระทำผิดในกระทรวงได้แล้ว แล้วเจ้ากระทรวงจะต้องเรียกร้องเงินคืนเพื่อไม่ให้รัฐบาลต้องจ่ายเงิน 2 ต่อ จะมารออะไรอีกแล้วไม่ได้” คุณหญิงกัลยากล่าว
