ถามว่าการย้อนกลับไปเอาเนื้อหาร่าง พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ของกรธ.มาบังคับใช้แทนพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 สะท้อนความเป็นจริงของอะไร
ตอบได้เลยว่า ความเป็นจริงที่ขัดกันเองภายใน”แม่น้ำ 5 สาย”
มิได้เป็นเรื่องของพรรคหรือกลุ่มทางการเมือง
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา หรือแม้กระทั่งพรรคที่เริ่มเตาะแตะอย่างพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่มีปัญหา
หากแต่เป็นปัญหาของ “คสช.” และเป็นปัญหาของพรรคในเครือข่ายของคสช.
ยิ่งถกเถียงความเป็นจริงยิ่งแผ่แบออกมา
ใครที่ติดตามฟังแถลงจาก นายวิษณุ เครืองาม ก็พอจะแกะรอยได้ว่าหนทางออกของคสช.ก็คือ การเอาเนื้อหาที่กรธ.กำหนดเอาไว้ในร่างพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
นั่นก็คือ การให้คณะกรรมการสรรหา 11 คนมารับฟังสมาชิกในเขต
จึงเกิด”ปฏิกิริยา” จาก”สนช.”บางคน
จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจแม้กระทั่งบางพรรคการเมืองที่เคยประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะเห็นด้วยกับ “สนช.” บางคน
“การเปลี่ยนมาใช้ตามหลักการของกรธ.เป็นการถอยหลังลงคลองกลับสู่พรรคแบบเดิมๆ คสช.กลืนน้ำลายตัวเองที่เคยประกาศจะปฏิรูปการเมือง
ถึงวันนี้เราเริ่มไม่มั่นใจว่าคสช.ต้องการปฏิรูปการเมืองเพื่อแก้วิกฤตออกจากน้ำเน่าจริงหรือไม่ หรือเพียงต้องการสืบทอดอำนาจต่อไป”
จึงเท่ากับชี้ให้เห็นว่า หากคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560 ออกมาตามข้อเสนอของ 2 คนสำคัญ
1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 1 นายไพบูลย์ นิติตะวัน
ซึ่งต่อมามีบทบาทสำคัญในพรรครวมพลังประชาชาติไทย และในพรรคประชาชนปฏิรูป
การออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับใหม่โดยเน้นไปยัง”ไพรมารี โหวต”น่าจะสัมพันธ์กับ “พรรคพลังประชาดูด”อันมี”สามมิตร”เป็นกำลังสำคัญ