ผู้เขียน | การ์ตอง |
---|
กลายเป็น “ความเห็น” ที่ฮอตสุด ส่งท้ายเดือนสิงหาคม และมีปัจจัยที่ส่งให้ร้อนแรงต่อเนื่องสู่กันยายนได้สบายๆ คำสัมภาษณ์ของ สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร ในนาม “กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.” เมื่อถูกถามถึงความคืบหน้าเรื่องการไต่สวนข้อเท็จจริงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200
“การจะวินิจฉัยว่าถูกหรือผิดนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะบางครั้งไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่อง แต่เป็นเหมือนความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่เขานำไปใช้แล้วรู้สึกว่าคุ้มค่า”
พลันที่ความเห็นนี้ปรากฏสู่สาธารณะ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระเม็งเซ็งแซ่ โดยแบบทั้งหมดเจือไว้ด้วยความขมขื่นต่อท่าทีของผู้มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของชาติ
เหมือนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะต่อเนื่องเพียง 3-4 วัน แต่เมื่อตามด้วยข่าว ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายรายประจำปี 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท ในเวลา 2 ชั่วโมง ด้วยเสียงล้นหลาม 206 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่มีคัดค้านแม้แต่คนเดียว
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการตรวจสอบการใช้เงินจึงกระหึ่มขึ้นมาอีก
โยงไปไกลถึง “หนี้สาธารณะ” ที่ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าเพิ่มขึ้น
แม้จะพยายามชี้แจงว่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว “สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทย” ยังถือว่าน้อยกว่าหลายประเทศ
แต่นั่นดูจะไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์หยุดลง เนื่องจากเกิดคำถามขึ้นว่า “ประเทศอื่นกู้ไปใช้อะไร แต่ประเทศเรานั้นใช้เงินกันแบบไหน”
เมื่อโยงถึงความรู้สึกว่า “สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” ไม่ทำหน้าที่ในบทบาทของผู้ตรวจสอบผลประโยชน์ อันเกิดจากการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศอย่างเต็มที่ ปล่อยให้ผ่านไปโดยมีการซักถามให้เกิดความรอบคอบน้อยมาก
ทำให้เรื่องราวของการบริหารจัดการประเทศที่ระบบการตรวจสอบทำงานได้ไม่เต็มที่ กลับมาเป็นคำถามกระจายไปกว้างขวางมากขึ้นไปอีก
และเมื่อย้อนไปยังการแสดงทรรศนะต่อ “การไต่สวนจีที 200” ของ “กรรมการ ป.ป.ช.” ที่ให้คุณค่ากับการใช้งบประมาณ ตามความเชื่อของคนใช้ โดยไม่ได้พูดถึงความเป็นเหตุเป็นผล
ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนอยู่ว่าอังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้ขายจีที 200 ได้ดำเนินคดีกับผู้ขายจีที 200 ไปแล้วเลยยิ่งไปกันใหญ่
ภาพของหน่วยงานหรือองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของประเทศ หรือการทุจริตประพฤติมิชอบ ยากจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผู้ติดตามชะตากรรมของประเทศด้วยความเป็นห่วงเป็นใยได้
และเมื่อเป็นเช่นนี้จึงหนีไม่พ้นที่จะหยิบยกระบบการปกครองที่สร้างค่านิยมให้ยกย่องเชิดชู “ผู้มาจากการแต่งตั้ง” ด้วยความเชื่อว่า “คนดี” ย่อมเลือก “คนดีด้วยกันมาทำงาน ได้ดีกว่าประชาชนทั่วไปเป็นผู้เลือก”
ทามกลางสถานการณ์การเมืองที่กติกาเขียนให้บทบาทของ “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” สูงขึ้น โดยสร้างกลไกที่จะลดบทบาทของ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” ลง
ทรรศนะของ “ป.ป.ช.” และบทบาทของ “สนช.” ซึ่งล้วนแล้วมาจากการแต่งตั้ง
ได้สร้างคำถามถึง ผลแห่ง “กติกาใหม่” ที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชู “ผู้ที่มาจากการแต่งตั้ง”
ทำนองว่า “กติกา” เช่นนั้นจะส่งผล อย่างไรให้ประเทศ