เส้นทางระหว่าง การ “ติดล็อก” กับการ “คลายล็อก” อาจจะทอดยาวอย่างยิ่งจากประกาศคสช.ฉบับที่ 57/2557 มายังเดือนกันยายน 2561
จากรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนกันยายน 2561
ยาวนานกว่า 4 ปี
แต่เส้นทางระหว่าง “การคลายล็อก” กับ “การปลดล็อก” จะรวดเร็วมากยิ่งกว่า
ที่กำหนดว่าน่าจะเป็นเดือนธันวาคมน่าจะก่อน
เพราะพลันที่ยอมรับความจำเป็นต้อง “คลายล็อก” สภาพทางการเมืองก็จะไม่เหมือนเดิม
การรุกจากพรรคการเมืองจะมีอัตราเร่งอย่างเหลือเชื่อ
รูปธรรมแรก อันเห็นจากพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ บรรยากาศแห่งการหยั่งเสียงภายในสมาชิกพรรคเพื่อหาตัวหัวหน้าพรรค
คำถามก็คือ ถ้าไม่ใช่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นใคร
ยิ่งสำรวจลงไปภายในพรรคเพื่อไทยยิ่งมากด้วยความคึกคัก เพราะว่ามี “ตัวเลือก” เป็นจำนวนมาก
จะยังคงเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือไม่
หรือว่าเป็น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือว่าเป็น นายจาตุรนต์ ฉายแสง ที่ยืนหยัดซดกับคสช.ตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
บรรยากาศเหล่านี้เป็นบรรยากาศแห่งการถกเถียง อภิปราย
ทั้งมิได้จำกัดกรอบขอบเขตเฉพาะแต่ภายในพรรค หากแต่ยังขยายวงไปนอกพรรค
ความคึกคักก็จะแผ่ขยายกลายเป็น “ประเด็น”
ความคึกคัก 1 กระทบไปยังอีกความคึกคัก 1 ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่า
บรรยากาศอย่างนี้แหละคือ ตัวเร่งในทางการเมือง
คสช. และรัฐบาลหวังว่า “อำนาจ” ที่มีอยู่ในมือจะทำให้สามารถควบคุม บงการ ทิศทางต่างๆได้ แต่ในความเป็นจริงยากยิ่งที่จะควบคุมได้
เอาแค่เพียงกระบวนการหาเสียงผ่าน “อิเล็กทรอนิกส์” อันเป็นเรื่องใหม่อย่างยิ่ง ท้าทายอย่างยิ่ง ก็มิอาจบริหารจัดการได้ง่าย
แล้ว “ล็อก” ที่คงเหลืออยู่ก็ย่อมจะ “สั่นคลอน” เป็นลำดับ