‘กรณ์’เห็นต่างหลังถกผู้บริหารปตท. ปมซื้อกิจการไฟฟ้า-แข่งธุรกิจกาแฟ ลุยเดินหน้าร้องเรียน

วันนี้ (5 ก.ย.) นายกรณ์ จาติกวนิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก Korn Chatikavanij แสดงความเห็นหลังรับฟังและแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารปตท.กรณีที่นายกรณ์ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยเรื่องการขยายกิจการซื้อกิจการผลิตไฟฟ้าและธุรกิจกาแฟ โดยระบุว่า

วันนี้ผมได้นั่งแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้บริหารปตท. ในกรณีแผนการเข้าซื้อกิจการผลิตไฟฟ้าของ GLOW และในส่วนของธุรกิจค้ากาแฟอเมซอน

ซึ่งก่อนที่ผมจะพบกับท่านเหล่านี้ ผมได้อ่านทุกความคิดเห็นที่ทุกคนได้นำเสนอในเฟซบุ๊กของผม ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขอขอบคุณไว้ณ ที่นี้

ในกรณีไฟฟ้าทางฝ่ายปตท. ได้พูดถึงจุดเริ่มแรกการทำธุรกิจไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการของปตท. เอง และเมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ GLOW เสนอขายก็ได้พิจารณาตามเงื่อนไขธุรกิจทั่วไป โดยปตท. มองว่าการควบรวมกับ GLOW มีประโยชน์กับกิจการที่มีอยู่เดิม และจะทำให้ปตท. (GPSC) เป็นผู้ผลิตใหญ่อันดับที่สามในประเทศ

Advertisement

ปตท. อธิบายว่าจะไม่มีผลกระทบกับลูกค้าปัจจุบันของ GLOW และการซื้อก๊าซก็ต้องซื้อในเงื่อนไขเดียวกันกับผู้ผลิตรายอื่น

ในส่วนของผมนั้น ผมได้อธิบายว่า ปตท. เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าปตท. มีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต่างจากบริษัทอื่นๆ เนื่องจากปตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นปตท. ต้องระมัดระวังไม่ใช้ฐานความเข้มแข็งจากความเป็นรัฐ ในการข้ามไปแข่งในธุรกิจของพวกเขา

คงไม่มีปัญหาหากปตท.เพียงผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือจำกัดการเปิดร้านกาแฟในปั๊มนํ้ามัน ปัญหาเกิดจากการขยับขยายออกมาแข่งกับชาวบ้าน

Advertisement

ในกรณีการผลิตไฟฟ้านั้นยิ่งมีความชัดเจน เพราะบริษัทผลิตไฟฟ้าทุกบริษัทเป็น ‘ลูกค้า’ ของปตท.

ผมเปรียบเทียบว่าหากการท่าอากาศยาน (ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน) ตัดสินใจลงทุนทำสายการบินของตนเอง เราก็คงมองว่านั่นจะเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับสายการบินอื่นที่ล้วนเป็นลูกค้าเดิมของการท่าฯ และเป็นการทำในสิ่งที่ไม่ใช่พันธกิจขององค์กร

ผมมองว่าในยุคที่สังคมมีความกังวลกับอิทธิพลทุนใหญ่ และในยุคที่บทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจของเรามีมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐจึงยิ่งต้องระมัดระวังไม่ให้หน่วยงานของรัฐมีข้อครหาว่าเป็นผู้เอาเปรียบภาคเอกชนเสียเอง และหากการแข่งขันในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าลดลง ผู้เสียเปรียบสุดท้ายก็คือประชาชนผู้ใช้ไฟ

นอกจากนั้นเรายังมี กฟผ. ทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าอยู่แล้ว และกฟผ. ก็มาถูกทางแล้วในการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามารับภาระการลงทุนแทนรัฐ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะมีอีกรัฐวิสาหกิจหนึ่งมาซื้อหุ้นเอกชนกลับไป

ทุนที่ใช้ในการซื้อ GLOW กึ่งหนึ่งก็เป็นของประชาชน ดังนั้นปตท. ควรที่จะใช้ทุนนี้ในทางที่สร้างสรรค์กว่า โดยนำไปสร้างของใหม่ที่จะเป็นการเสริมเติมต่อระบบเศรษฐกิจ แทนที่จะมาซื้อของเก่าที่ดำเนินการอยู่แล้ว (และเงินก้อนใหญ่นี้ผู้ถือหุ้นต่างชาติก็จะหอบกลับบ้านไป)

ซึ่งประเด็นทางกฎหมายรัฐธรรมนูญยิ่งเป็นการยืนยันว่ารัฐควรต้องทำตามภารกิจของตนเท่านั้น ไม่ควรไปทำธุรกิจแข่งกับเอกชนโดยไม่จำเป็น

ส่วนเรื่องอเมซอน ผมขอข้ามไปรายงานในประเด็นที่เป็นข้อสรุปจากการสนทนาวันนี้ว่าปตท. ตกลงที่จะกลับไปคิดหาคำตอบในข้อเสนอ และในประเด็นที่ทางฝ่ายประชาธิปัตย์มีความกังวล

1. ปตท. จะพิจารณาว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่อเมซอนอย่างไร โดยเฉพาะรายย่อย (ทุน/อุปกรณ์/พื้นที่การขาย) เพราะนั่นคือบทบาทการส่งเสริมอุตสาหกรรมกาแฟที่แท้จริงของรัฐ

2. ปตท. จะพิจารณาว่าจะเปิดพื้นที่ปั๊มน้ำมันให้ผู้อื่นแข่งขันอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร (ปัจจุบันถึงแม้มีเจ้าอื่นขายกาแฟในปั๊มปตท.อยู่บ้างแต่ปตท.ก็กำหนดเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดในการแข่งขันเช่นจำกัดสิทธิการโฆษณาหรือแม้แต่ประเภทขนมที่ขายได้)

3. ปตท. จะพิจารณานโยบายว่าจะจำกัดจำนวนสาขาอย่างไร เพราะเรามีประสบการณ์จากร้านสะดวกซื้อแล้วว่าหากปล่อยให้ขยายได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ได้ส่งผลอย่างไรกับกิจการโชว์ห่วยของชาวบ้าน

4. ปตท. จะหาแนวทางที่จะส่งเสริมเกษตรกรที่ประสงค์จะเปลี่ยนมาปลูกกาแฟ (ยกตัวอย่างเช่นชาวสวนยางในภาคใต้ หรือสวนลำไยในภาคเหนือ)

5. ปตท.จะหาแนวทางช่วยชาวไร่กาแฟไทยเพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาวไร่สามารถขายเมล็ดกาแฟให้ปตท.ได้มากขึ้น (ปัจจุบันเป็นน่าจะมีการซื้อเมล็ดกาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านคนกลางในปริมาณที่มากอยู่)

6.ผมเองเห็นคุณค่าของแบรนด์ ‘อเมซอน’ ที่ปตท. สร้างขึ้นมา เพียงแต่คิดว่าเอกชนรายอื่นไม่ควรต้องมาแข่งกับรัฐ แม้ปตท.บอกว่าเขาจะขายหุ้นบางส่วนในตลาดหลักทรัพย์ แต่นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มความได้เปรียบในแง่กำลังทุน และปตท.ก็ยังจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอยู่ดี ผมจึงได้แสดงความเห็นกับปตท. ว่าปัญหาทั้งหมดจะหมดไปหากปตท.แปรให้กิจการอเมซอนเป็นของเอกชนทั้งหมด (ยกตัวอย่างคือขายให้กับผู้บริหารและเจ้าของ franchise ปัจจุบัน รวมไปถึงประชาชนทั่วไป แต่อย่าขายให้ทุนใหญ่) เพื่อให้เอกชนไทยเจ้าอื่นสามารถแข่งขันกับอเมซอนอย่างเป็นธรรมได้มากขึ้น และจะทำให้กิจการกาแฟไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ห้ามรัฐแข่งกับเอกชน

ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะช่วยให้ปตท. มีบทบาทที่สร้างสรรค์และเป็นที่ชื่นชมของประชาชนคนไทยมากยิ่งขึ้น ผมเองไม่ได้มีอำนาจจะมาบังคับใครทำอะไร และนั่นไม่ใช่เจตนา แต่ในขณะเดียวกันผมมองว่าประเด็นเรื่องบทบาทของรัฐ และเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรมมีความสำคัญมากในการสร้างสังคมและระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรมและมั่นคง และจึงเป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่จะต้องใส่ใจ

ข้อสรุปจากวันนี้คือ เราเข้าใจกันมากขึ้น แต่ยังเห็นต่างในหลายประเด็น ผมจึงจะเดินหน้ายื่นคัดค้านการซื้อหุ้น GLOW โดย ปตท. และจะรอฟังความชัดเจนในประเด็นที่เรียบเรียงไว้ 6 ข้อ ในกรณีธุรกิจกาแฟ

เนื่องจากส่วนหนึ่งของปัญหาเป็นประเด็นทั้งทางนโยบายและทางกฎหมาย ผมจึงจะยื่นร้องเรียนการซื้อหุ้น GLOW ต่อท่านนายกฯและท่านรัฐมนตรีพลังงาน พร้อมกับยื่นร้องเรียนกับผู้ตรวจการแผ่นดิน

ทั้งหมดนี้จะดำเนินการในวันจันทร์ที่ 10 กันยายนนี้ครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image