ไม่ว่าเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าเสียงจากพรรคเพื่อไทยต่อ ประเด็น “ล็อก”ทางการเมือง
ตรงกัน นั่นก็คือ ต้อง”ปลด” มิใช่”คลาย”
นับแต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 เรื่อยมากระทั่งการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
เป็นครั้งแรกที่ 2 พรรคนี้เห็น “ตรงกัน”
เพราะไม่ว่าจะเรียกว่าพรรคไทยรักไทย เรียกว่าพรรคพลังประชาชน เรียกว่าพรรคเพื่อไทย เมื่อยืนอยู่บนเวทีทางการเมืองก็แทบจะไม่เคยมองอะไรตรงกันเลย
จึงเป็นครั้งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเห็นตรงกัน
ต้อง”ปลดล็อก”มิใช่ “คลายล็อก”
ไม่เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่เห็นเช่นนี้ แม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ก็เห็นไปในแนวทางนี้
หรือแม้กระทั่งพรรคใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่ พรรคประชา ชาติ ก็เห็นว่าถึงเวลาที่จะต้อง”ปลดล็อก”
เว้นก็แต่พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป เท่านั้นที่ไม่ว่า”คสช.”จะเห็นอย่างไรก็ไม่กล้าโต้แย้ง
หากมองว่าพรรคการเมืองคือเงาสะท้อนความคิดและความรู้สึกของประชาชน
นี่ย่อมเป็น”สัญญาณ”อันหนักแน่นและจริงจัง
เท่ากับเป็นการเตือนให้”คสช.”ตระหนักว่า การยื้อ ถ่วง หน่วง “ล็อก”ทางการเมืองเอาไว้ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “การเลือกตั้ง”
บทสรุปที่ว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องดีมิได้จำกัดแต่เพียงประเด็นของการ เลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
ในที่สุดแล้วสายตาที่มอง”คสช.”ก็ไม่ดีไปด้วย
ยิ่ง”คสช.”ต้องการจะสืบทอดอำนาจทางการเมือง ยิ่งทำให้เห็นว่ากระบวนการเหล่านี้เท่ากับเป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับตนและพวกพ้องของตน
นี่เป็นเรื่องที่ขัดต่อความเป็น”ชายชาติทหาร”อันเป็นจุดเด่นอย่างยิ่งของ “คสช.”
ไม่ว่าประเมินในด้าน”การทหาร” หรือ”การเมือง”