‘บิ๊กตู่’ แนะ ขรก.รุ่นใหม่ ปฏิรูปตัวเองก่อนเลือกตั้ง ชี้ทิศทาง ปชต. เดินอ้อมบ้างก็ได้

“บิ๊กตู่” มอบนโยบาย ขรก.รุ่นใหม่ปฏิรูปตัวเองก่อนเลือกตั้ง ระบุการเป็น ปชต.ต้องเปลี่ยนองศา ไม่จำเป็นต้องเดินทางตรง อ้อมบ้างก็ได้ ชี้อนาคตราชการจะเล็กลงเน้นปชช.มีส่วนร่วม

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 10 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ก.พ.และหัวหน้าส่วนราชการเพื่อสนับสนุนกลไกการปฏิบัติงานในโครงการเชิงยุทธศาสตร์/โครงการสำคัญระดับประเทศ พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานและแสดงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “หนึ่งองศาขยับ ปรับเปลี่ยนประเทศไทย : กำลังคนคุณภาพกับการปฏิรูปประเทศเชิงบูรณาการ” โดยมีข้าราชการจากหลายหน่วยงานเข้าร่วม 500 คน

โดยนายกฯกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้จะบังคับตัวเองให้พูดช้าลง ต้องเตือนตัวเอง พูดช้าๆ พูดเพราะๆ อย่าหงุดหงิด และวันนี้รู้สึกเจ็บคอ แต่อย่างไรก็ตามเราต้องมองเป้าหมายระยะยาว เพราะ 1 องศา ก็จะขยับปรับเปลี่ยนประเทศไทย องศามี 2 อย่าง องศาแรกคือองศา อุณหภูมิความร้อน ส่วนองศาที่สองคือการกำหนดทิศทาง สำหรับตนจะต้องทำทุกอย่างให้ตื่นตัวมากขึ้น กระตุ้นให้ทุกคนมีทั้งแรงกายและแรงใจในการแก้ไขปัญหาประเทศ ซึ่งอาจจะต้องร้อนขึ้นมาหน่อย ในเรื่องของทิศทางเรามีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา 80 ปีของประชาธิปไตย บางครั้งก็เดินเส้นทางตรงตามกฎหมายต่างๆ แต่บางครั้งเราก็ต้องปรับเปลี่ยนทิศทางบ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนเยอะก็อาจจะมีปัญหาจากการยอมรับของประชาชน และทุกคนยังเข้าใจไม่ตรงกัน เนื่องจากทุกคนยังมีความลำบากยากจน มีความเหลื่อมล้ำไม่ได้รับความเป็นธรรม การปรับเปลี่ยนทิศทางจึงค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อวันนี้เรามีการปฏิรูปประเทศ มีการทำยุทธศาสตร์ชาติ เราจึงสามารถกำหนดทิศทางต่างๆ ได้ บางอย่างไปทางตรงไม่ได้ ก็อาจใช้ทางอ้อม เราต้องเปลี่ยนทิศทางไม่ให้เย็นชา จืดชืด หรือทำงานไปแค่วันๆ เป็นแค่องศาเดิมบางครั้งองศาติดลบเสียด้วย เมื่อนายไม่เปลี่ยนแล้วลูกน้องจะเปลี่ยนได้อย่างไร ถือเป็นปัญหาสำคัญ คนเป็นนายจึงต้องมีการคิดและปรับเปลี่ยน ตนเป็นนายกรัฐมนตรีฟังทุกเรื่องแล้วมาดูว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ การเป็นนายกฯจะต้องรู้ทุกเรื่อง รู้ถึงปัญหา แนวทางในการแก้ไขปัญหา และนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ โดยรับฟังความเห็นทุกภาคส่วน การปรับเปลี่ยนทิศทางหรือองศาในการทำงานทุกคนในองค์กร จะต้องคิดเหมือนกันถึงจะไปได้ แต่ถ้าคนเป็นนายไม่คิด คนเป็นลูกน้องคิดมันก็แค่นั้น สุดท้ายก็จะหมดกำลังใจ กลายเป็นว่าอยู่แบบเดิมดีกว่า

“ปัญหาแบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดกับประเทศเรามาโดยตลอด ผมไม่ได้ว่าประเทศเราไม่ดี แต่มันถึงเวลาแล้วที่ต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เราจึงต้องปรับบทบาทราชการวันข้างหน้าจะต้องเล็กลง ถือเป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตยในโลกใบนี้ โดยให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมแทน ส่วนวิธีการจำทำอย่างไรค่อยไปว่ากัน แต่ทั้งหมดจะต้องเป็นส่วนราชการที่มีคุณภาพ ไม่อุ้ยอ้าย สามารถวางกรอบนโบายที่ไม่ขัดแย้ง ตอบโจทย์ประชาชนให้ได้ ข้าราชการมีหน้าที่ทำเพื่อประชาชนและประเทศ” นายกฯกล่าว

Advertisement

นายกฯกล่าวว่า หลายคนเข้ามาสู่ระบบราชการแล้วเกิดความท้อแท้ แต่จะต้องเข้าใจว่าหน้าที่ของเราในฐานะข้าราชการชั้นผู้น้อย ทำอย่างไรที่พูดแล้วเจ้านายจะรับฟัง ไม่ใช่ว่าจะต่อต้านทุกอย่าง มันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ คนเป็นนายก็ต้องรับฟัง ทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้ามัวพูดจาให้ร้ายกันไปมาก็จะมีปัญหา “ผมยอมรับว่าเป็นกังวลกับข้างบนเหมือนกัน ผมเองยังต้องฟัง ดังนั้นเมื่อท่านอยู่ข้างล่าง ในส่วนของผู้ปฏิบัติก็ต้องฟังประชาชนด้วย สำหรับผมฟังทั้งสองทาง ส่วนราชการหลายอย่างยังมีปัญหาในเรื่องการบริหาร ผมรับทราบข้อมูลมามากพอสมควร ไม่ใช่แค่เรื่องทุจริตเพียงอย่างเดียว มีหลายเรื่องที่ยังคิดไม่ตรงกัน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน โลกกำลังปรับเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล อำนาจรัฐจะลดลงเรื่อยๆ ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งประชาธิปไตยวันนี้เป็นอย่างนั้น ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นผ่านสังคมโซเชียล ดีและไม่ดี การให้ร้าย หยาบคาย มีอยู่ทั้งหมด รัฐบาลไปควรคุม หรือใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้ ทุกคนจึงต้องช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรปัญหาเหล่านี้จะลดลง ถ้าทำไม่ได้ ระบบราชการก็จะล้มเหลว”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง อย่าทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว กลายเป็นคนองศาติดลบ อย่าคิดว่าทำไปก็เท่านั้น สู้อยู่เฉยๆ ไปก่อนรักษาตัวให้ได้ รักษาตัวรอดให้ปลอดภัย เมื่อเป็นใหญ่แล้วค่อยทำ คิดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ารอแบบนี้อาจจะไม่ได้เป็นใหญ่ด้วยซ้ำ เนื่องจากจะมีระบบคัดกรองจากฝ่ายการเมือง อำนาจ การบริหาร เราจะต้องยืนหยัดในหลักการ อะไรผิดอะไรถูก โดยวิธีคิดที่แตกต่าง อย่างการประชุมไม่จำเป็นจะต้องนั่งหัวโต๊ะเสมอไป นั่งตรงไหนก็ต้องเสนอความคิดให้ทุกคนรับฟังให้ได้ ตนไม่ใช่คนเก่งหรือดีเลิศประเสริฐศรี แต่สามารถพูดให้ทุกคนเข้าใจ และพร้อมรับฟังต้องเสนอความคิดด้วยความละมุนละม่อมไม่ใช่ปะฉะดะ หรือร้องเรียนเละเทะไปหมด จนทำอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายทุกอย่างก็จะเสียหาย เป็นข้าราชการเลือกนายไม่ได้ แต่นายเป็นคนเลือกผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าทำตัวดีตั้งแต่วันนี้อนาคตก็จะเป็นนายที่ดี

“ผมไม่ได้พูดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าไม่ดี ก็ดี ประเทศก็ยังมาถึงวันนี้ได้ เป็นเรื่องธรรมดาทุกประเทศก็มีเช่นนี้ ผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาทั้งนั้น หลายประเทศมีการสู้รบมา 10-20 ปี มีการก่อการร้าย แต่วันนี้เขาเลิกหมดแล้ว เพราะที่ผ่านมาล้มเหลวไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย สิ่งที่ได้เป็นแค่ประสบการณ์ สิ่งที่ต้องคิดคือเราจะต้องไม่กลับไปทำเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมาอีก จะต้องไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งไม่ว่าจากใครก็ตาม รัฐบาล ประชาชน ต้องร่วมมือกัน เพื่อทำให้สังคมเข้มแข็งไม่เกิดปัญหา ไม่นำเรื่องเก่ามาพูดกันไปมาจนเลอะเลือนไปหมด นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้า ปฏิบัติตัวใหม่โดยเร็วก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ทุกคนจะต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัย ไม่ใช่จะทำอะไรเหมือนเดิม วันนี้เรากำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งผมคิดว่าประชาธิปไตยผมก็เดินหน้าเต็มที่ ถ้าคนไม่มีอะไรผิดไม่ทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็จะไม่โดนอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ถ้าเราไม่ดูแลปัญหาคงไปยิ่งกว่านี้ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาถือเป็นประสบการณ์ของผมเช่นกัน” นายกฯกล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image