ผู้เขียน | ชโลทร |
---|
⦁…19 ก.ย.2549 ถูก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำปฏิวัติ พ้นจาก “ผู้นำประเทศ” ครบ 12 ปี ทักษิณ ชินวัตร เขียนเฟซบุ๊กถึงฝ่ายต่างๆ ในประเทศไทยว่า “อยากให้ทุกคนลองวางใจให้เป็นกลาง แล้วหลับตานึกว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ คิดว่าประเทศไทยเจริญขึ้นหรือไม่” ซึ่งคำตอบคง “ไม่ยาก” เพราะทุกคนเห็นชัดด้วยตา สัมผัสด้วยใจได้อยู่แล้ว แต่ที่ดูว่าไม่น่าจะทำไปได้ คือคำร้องขอให้ “วางใจเป็นกลาง” และใจที่เอียงข้างนั่นแหละ เป็นเหตุให้คำตอบในคำถามที่ว่า “ประเทศไทยเจริญขึ้นหรือไม่” เพี้ยนไปจาก “ความเป็นจริงที่ตาเห็นใจสัมผัส” ดูเหมือนว่าถ้า “ไม่มีทักษิณในใจ” ผู้คนประเทศเราจะคิดจะเห็น “ใกล้กับความเป็นจริง” ได้มากกว่า
⦁…ไม่ได้ “หาเสียง” แต่เดินสายไปพบปะประชาชนในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” เนื้อหาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้ให้คนที่มาต้อนรับได้รับรู้คือ เป็นผู้บริหารประเทศที่สร้าง “ความสงบ” ได้มากกว่า ท่ามกลางเสียงเชียร์ “ลุงตู่สู้ๆ” ถูกจัดเป็นกิจกรรมต้อนรับที่ดังกระหึ่มในทุกพื้นที่ที่ย่างเหยียบ มีคำถามถึง “ความเดือดร้อนที่เกิดจากปัญหาปากท้อง” ที่บ่นกันระงมทุกหัวระแหง แทนที่ลงพื้นที่แล้วจะ “ได้ยินได้ฟังปัญหาที่บีบกดหัวใจประชาชนมาทั้งปี” การต้อนรับทำให้ “บิ๊กตู่” สัมผัสเสียง “สรรเสริญเยินยอ” มากมายด้วย “ความรัก” ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกอะไรที่ “ท่านผู้นำ” จะเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจว่า “เป็นที่รักของประชาชนส่วนใหญ่”
⦁…ไล่เรียงเอาจากคำพูดในหลายวาระ แม้ยัง “ไม่ชัดเจนในท่าทีทางการเมือง” ว่าจะเลือกเดิน “ในบัญชี” หรือ “รอรับเชิญ” หรือ “พอแล้วในหน้าที่นี้” ทั้งที่ “กันยายน” ที่สัญญาว่าจะบอก จะผ่านพ้นไปในไม่กี่วัน และอธิบายคำที่เคยบอกไว้ว่า “หลังกฎหมายเกี่ยวกับ ส.ส.และ ส.ว.ประกาศใช้” ว่า “ถึงปีหน้ามันก็หลังเหมือนกัน” เป็นเหตุผลของการ “ไม่บอกให้ชัด” แต่การเน้นย้ำถึง “ยุทธศาสตร์ 20 ปี” และ “บทบาทสำคัญของคณะกรรมการยุทธศาสตร์” และเน้นย้ำเรื่อง “รัฐบาลต้องทำตาม” ทำให้ “บางคำตอบ” ปรากฏขึ้นในความคิดของหลายๆ คน
⦁…ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งหมด ที่ไม่มีใครปฏิเสธ หรือแสดงความไม่เห็นด้วยได้เต็มปากเต็มคำคือ ความวุ่นวาย “หลังเลือกตั้ง” จะหนักหนาเสียกว่าช่วงเลือกตั้ง เพราะ “รัฐธรรมนูญ” ที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ผูกปมไว้ให้ “พรรคการเมืองอ่อนแอ” ขณะที่ “คสช.” มีบทบาทที่ยังคงอิทธิพลต่อการบริหารจัดการประเทศสูง ทำให้ไม่ว่าใครจะเป็น “ผู้เข้ามาบริหารจัดการประเทศหลังเลือกตั้ง” ล้วนแต่ “รักษาเสถียรภาพของอำนาจ” ได้ยากยิ่ง
⦁…ต่อให้ “พรรคที่สนับสนุน คสช.” ได้เสียงข้างมาก ระดับมี “ความชอบธรรมในสิทธิจัดตั้งรัฐบาล” แต่การทำงานสภาภายใต้การตรวจสอบของ “ฝ่ายค้านที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” ย่อมไม่เป็นแค่ “ฝักถั่ว” การอธิบายทั้งในสภา และนอกสภาจะเข้มข้น เพื่อพิสูจน์ว่า “ความชอบธรรม” ไม่ได้แค่ “เสียงข้างมากเท่านั้น” แต่จะต้องอิง “คุณธรรม” ซึ่งไม่เกี่ยวกับ “ข้างมาก ข้างน้อย” ด้วย การทำงานแบบ “พร้อมใช้อำนาจ” จะถูกตอบโต้ จนเสีย “ความชอบธรรม” ได้ง่ายๆ
⦁…หาก “ผู้นำพรรคการเมือง ฝ่ายที่เชื่อมั่นในอำนาจประชาชน” ได้รับชัยชนะ เป็นเสียงข้างมากที่มีความชอบธรรมที่จะจัดตั้งรัฐ “ความไร้เสถียรภาพ” จะเกิดขึ้นในทันทีเช่นกัน เพราะ “รัฐธรรมนูญ” ที่วาง “กลไกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ไว้เข้มข้น เรียกว่าแทบจะซึมเข้าแทรกแซง มีอำนาจตรวจสอบทั้งในและนอกสภา จะทำให้ “รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” ยากกระดิกตัวไปทำโครงการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ที่สุดอยู่ไม่ได้เช่นกัน
⦁…มองกันว่า ถ้า “รัฐบาลหลังเลือกตั้งจะไปได้” ต้องมีการจัดการที่คาดไม่ถึงบางอย่าง เป็นแบบ “ราวปาฏิหาริย์” ที่ทำให้ “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ทำงานร่วมกับ “กลไกที่มาจากการแต่งตั้งได้” โดย “ราบรื่น” มองกันว่า “ปรองดอง” ที่ต้องการ เพื่อทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ไม่ใช่ “ปรองดองระดับประชาชนทั่วไป” แต่จะต้องเป็นการสร้าง “ปรองดอง” ระหว่าง “2 ขั้วอำนาจ” คือ “อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” กับ “อำนาจของกลุ่มคนที่ได้มาโดยไม่ต้องอาศัยการเชื่อมโยงประชาชน” ซึ่ง “กลไก” ที่จะทำให้เกิด “ปรองดองของสองขั้ว” นี้ได้ เป็นเรื่อง “คาดเดา” ไม่ได้
ชโลทร