การที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เลือกพิษณุโลกเป็นสถานที่เปิดตัวใน การเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มากด้วยความแหลมคมอย่างยิ่งอยู่แล้ว
แต่นี่ยังเลือกลานอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชอีกด้วย
เท่ากับยกระดับเข้าสู่สถานการณ์ “กู้ชาติ”
เพียงแต่ครั้งนี้เป้าหมายก็คือ การกอบกู้พรรคประชาธิปัตย์จากซากปรักหักพังซึ่งดำรงอยู่
นี่คือ การโยงวีกรรมของ”บุรพกษัตริย์”มาเป็นการชี้นำ
ยิ่งประสานเข้ากับบทบาทของพิษณุโลกตั้งแต่ยุคยังเป็นสองแควในฐานะเมืองเอกในประวัติศาสตร์
ยิ่งทำให้บาทก้าว นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ทรงความหมาย
หากมองพิษณุโลกในจุดอันเป็น”ฐานที่มั่น”สำคัญของพรรคประ ชาธิปัตย์ ก็ต้องมองไปยังบทบาทของ นายจุติ ไกรฤกษ์ ซึ่งไม่เพียง แต่ดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส.พิษณุโลกอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน
หากปัจจุบันยังเป็น”เลขาธิการพรรค”
มองจากมุมที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค นาย จุติ ไกรฤกษ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคจึงน่าจะสำคัญและมีบทบาทเป็นอย่างสูง แต่อดีตส.ส.พิษณุโลกเป็นอย่างไร
คนหนึ่ง คือ นายนคร มาฉิม แม้จะแยกตัวจากพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 แต่ก็แสดงบทเปิดโปงพรรคประชาธิปัตย์อย่างดุเดือดรุนแรง
ยัง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แม้จะเป็นกองหน้าในการขุดคุ้ยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้มข้น
แต่ ณ วันนี้ เขายืนตรงกันข้าม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับก็คือ ยืนตรงกันข้าม นายจุติ ไกรฤกษ์ โดยอัตโนมัติ
มิได้อยู่ในร่มเงาของ นายจุติ ไกรฤกษ์ ต่อไปอีกแล้ว
กรณีทั้งจาก นายนคร มาฉิม ต่อเนื่องมายัง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จึงสะท้อนถึงอำนาจนำในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกว่าดำเนินไปอย่างกระจัดกระจาย
ไม่ว่าจะมองบารมีของ นายจุติ ไกรฤกษ์ ในฐานะหัวหน้าทีม หรือในฐานะเลขาธิการพรรค
นี่ย่อมสั่นคลอนไปถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ