หมายเหตุ – นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ให้สัมภาษณ์พิเศษ “มติชน” ถึงเส้นทางการเข้ารับตำแหน่ง “รองเลขานายกรัฐมนตรี” ในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมเปิดเผยอนาคตทางการเมืองของตัวเอง
เพราะอะไรถึงได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรองเลขาฯนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์?
ผมติดตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ในการบริหารประเทศทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ปากท้อง จนกระทั่งหลายเดือนก่อนได้รับการทาบทามครั้งแรกจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้เป็นบอร์ดของ ททท. แต่พอมาทบทวนแล้วเราถนัดสายการเมือง งานบอร์ด ททท.อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราถนัด น่าจะเป็นงานของนักธุรกิจ หรือสภาอุตสาหกรรมมากกว่า จึงปฏิเสธไป จนมาถึงช่วงไม่นานมานี้ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคนหลายกลุ่ม มองว่าการเมืองในอนาคตข้างหน้าเปลี่ยนไปแล้วทั้งวิธีการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ แต่แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยน แต่คนยังไม่ค่อยสนใจมากนัก คือ วิธีการเลือกตั้งเปลี่ยนไป วิธีการหาเสียง หัวคะแนนของพรรคในพื้นที่ต่างๆ ถูกลดทอนไป เพราะสมัยนี้มีโซเชียลมีเดีย หลายประเทศเขาเจอวิธีนี้มาหมดแล้ว โลกเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย
ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าอยากจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เลยมีโอกาสได้เชิญเพื่อน พี่ น้อง ที่จบจากท็อปสคูล หรือเรียนที่ประเทศไทยก็เป็นระดับดอกเตอร์ เป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสได้เรียนในสถาบันระดับโลกมา เขากลับมา แต่ถ้าเขาไปทำงานกับเอกชนเขาก็ได้รายรับเป็นเงินเดือน ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรให้กับประเทศ การรวมตัวของคนรุ่นใหม่ของผมครั้งนี้เป็นโอกาสเอาความรู้ความสามารถกลับมารับใช้แผ่นดิน การเลือกตั้งครั้งนี้กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะมาในรูปแบบ ส.ส. หรือรูปแบบของกลุ่มอะไรก็ได้ เมื่อการเมืองเปลี่ยนไป อนาคตต้องการคนรุ่นใหม่เหล่านี้เข้ามา
ผมว่าทุกวันนี้อย่าพูดเลยว่านักการเมืองหน้าเก่าหน้าใหม่ แต่ผมถามว่าวันนี้มีอะไรให้กับคนรุ่นใหม่หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่มีโอกาสได้เลือกตั้งมาก่อนเลย เราเลือกตั้งครั้งสุดท้ายปี 2554 ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านมา 7 ปี กลุ่มคนเหล่านี้ที่มีโอกาสเข้ามาเลือกตั้งเกือบ 7 ล้านคน ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่สามารถชี้นำได้เลย
ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลุ่มคนเหล่านี้จะไม่เลือกทั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพราะเขาอาจจะโตมาไม่ทันเรื่องความเป็นพรรค เมื่อเขามองหาความเข้าใจแล้วพบเรื่องราวขัดแย้ง ก็อาจจะมองหาทางเลือกใหม่ๆ ให้กับตัวเองว่า ใครคืออนาคตที่จะโตไปกับคนกลุ่มนี้ จนวันหนึ่งผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคนใกล้ชิดของท่านนายกฯ แล้วท่านก็คิดแบบเดียวกันกับกลุ่มของผมเรื่องคนรุ่นใหม่กำลังจะมีสิทธิเลือกตั้ง ท่านเป็นคนให้โอกาสคน ชอบไอเดียคนรุ่นใหม่ และผมก็ได้เข้ามารับตำแหน่งนี้
มีเสียงวิจารณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งให้เป็นรองเลขาฯเพราะให้รางวัลแกนนำ กปปส.?
ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น กปปส. แต่หลังสิ้นสุดการชุมนุม ทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ผมบวชเสร็จก็กลับไปอยู่กับครอบครัว ไม่เอาความเป็น กปปส.ไปต่อรองกับรัฐบาลเลย บางคนอาจมองว่าเป็นการแบ่งกันเล่นหรือเปล่า โดยให้กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ส่วนผมก็มาอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมยึดพรรค ปชป. แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะต่างคนต่างแยกย้ายเป็นเรื่องปกติ นายสุเทพไปตั้งพรรคก็ไม่ได้ชวนผม พวกผมก็ไม่มีใครไปกับเขาสักคน การมานี่ก็มาของผมเอง เพราะคิดว่าเข้ามาทำงาน ผมยืนยันว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันเลย ไม่เคยต่อรองเพื่อผลประโยชน์
ผมไม่คิดว่า คสช.จะมาช่วยผมเรื่องคดีความ เพราะตอนนี้เรื่องเข้าสู่ชั้นศาลแล้ว รัฐบาลเข้ามาก้าวก่ายการทำงานของกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ถ้าตอนยังไม่ส่งฟ้องศาลก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้อัยการฟ้องศาลเรียบร้อยแล้ว ถ้าช่วยจริงๆ อัยการต้องไม่ส่งฟ้องศาลตั้งแต่แรก ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ผมยังถือว่าบริสุทธิ์ เหมือนการต่อสู้ทางการเมืองในปี 2552-2553 แกนนำหลายคนมีคดีความติดตัว แต่ก็ยังเป็นรัฐมนตรีได้ ผมเข้าใจได้เพราะเป็นการดิสเครดิตทางการเมือง
อยู่กับพรรค ปชป.ไม่คิดว่าจะไปได้สวยกว่าที่มาอยู่ตรงนี้หรือ?
ทุกคนก็ถามผม เพราะอยู่พรรค ปชป.มา 18 ปี ส่วนตัวสนับสนุนการปฏิรูปพรรค ปชป. เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่ดี ปลูกฝังให้ผมมีวันนี้ได้ แต่ ปชป.ยังไม่ได้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามาก เพราะผู้ใหญ่ก็ยังอยู่เยอะ ส.ส.ในพื้นที่ก็ยังอยู่เยอะ เด็กรุ่นใหม่ก็ยังไม่ค่อยได้ขึ้นมาเท่าไร ผมออกมาผมก็มองว่าดีนะ เป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาบ้าง
วันนี้ถามว่าผมใจหายไหม ก็ใจหาย เพราะอยู่กันมานาน แต่ด้วยหลายอย่างในการเมืองที่เปลี่ยน ทั้งรัฐธรรมนูญ ระบบการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเราต้องกล้าที่จะเดินออกมาเพื่อเปลี่ยนแปลงไปกับคนยุคใหม่ เชื่อว่าวันนี้ประชาชนอยากเปลี่ยน อยากได้การเมืองใหม่ๆ
ในส่วนของการพรรคการเมือง ผมก็รู้จักทุกพรรค และเมื่อจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง คิดว่าจะช่วยท่านนายกฯตรงนี้ได้มาก ในเรื่องการประสานงาน ดูแล และวิเคราะห์ โดยใช้ประสบการณ์จากสนามการเมือง ม็อบมวลชน ต่างๆ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นเรื่องสำคัญและต้องจับตามอง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหว การต่อสู้กันทางนโยบายของพรรคการเมืองใหม่ๆ ในยุคของโซเชียลมีเดีย และการนำเสนอในเรื่องตัวบุคคลจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
การตัดสินใจออกจาก ปชป.เพราะมองว่าอนาคตตรงนี้ดีกว่าใช่หรือไม่?
ไม่เลย จริงๆ อยู่กับพรรค ปชป. ลง ส.ส.เขตเดิมก็พูดตรงๆ ว่าก็ชนะแน่นอน และชัดเจนกว่าด้วย การตัดสินใจออกมาตรงนี้ไม่ได้ดูที่ตัวเองเท่าไหร่ ดูที่พรรคพวกมากกว่า เพราะอยู่กับ ปชป.จะเซฟและชัวร์กว่า แต่ก็อย่างที่บอกว่าอยากเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีโอกาสได้ทำงาน
มองได้ว่าคุณจะเข้ามาเป็นตัวเชื่อมให้พรรค ปชป.จับมือ คสช.ชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีกครั้ง?
เป็นเรื่องอนาคตที่ไม่สามารถตอบตอนนี้ได้ สำหรับผม ถ้ามีอะไรที่ทำแล้วดี เป็นประโยชน์ บ้านเมืองสงบ เดินหน้าต่อไปได้ ผมก็ทำ แต่การเลือกตั้งยังไม่รู้เลยว่าใครจะชนะ ถ้าวันหนึ่งผมจะต้องไปเป็นคนเชื่อมต่อ แล้วทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้มีความเข้มแข็ง ผมก็ทำได้ ซึ่งไม่ใช่แค่พรรค ปชป. แต่ผมมีเพื่อนอยู่ทุกพรรค เข้าใจการเมืองของทุกพรรคดี
คิดว่าจริงๆ แล้ว ปชป.เปิดรับ คสช.หรือไม่?
พูดยาก แต่ ปชป.ก็เดินเต็มสูบของเขา เขาออกมาด่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เยอะแยะ ไม่ได้ชม หรือทอดสะพาน เขาทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่
ไม่กลัวว่ามาอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เส้นทางการเมืองจะไปได้ไม่ถึงไหนหรือ?
ผมตัดสินใจแล้ว เมื่อผมตัดสินใจแล้ว ผมก็ทำอย่างเต็มที่ ผมจะเดินต่อไป ถ้า พล.อ.ประยุทธ์หยุด แล้วผมพอมีช่องทางเดินต่อไปได้ ผมก็จะเดินต่อ หาก พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าพอแล้ว ผมก็อาจชวนคนรุ่นใหม่เดินต่อก็ได้ จนกว่าผมจะรู้สึกว่าเดินไม่ไหว ผมก็หยุด รับสภาพ ผมได้ตัดสินใจแล้ว ผมเป็นคนชัดเจน ผมออกจากพรรคแม้จะใจหาย เพราะอยู่มาถึง 18 ปี มาอยู่ตรงนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เข้าสภาด้วยวิธีใด แต่ผมไม่ได้คิดตรงนั้น แต่เอางานข้างหน้าเป็นหลัก ผมว่าคนยุคนี้ต้องมีความชัดเจน คิดแล้วต้องลงมือทำ
หมายความว่าตอนนี้ก็มาทำงานตรงนี้ก่อน แต่ในอนาคตท่านนายกฯทำอะไร เราจะเอาด้วยใช่หรือไม่?
ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น จริงๆ ก็ต้องบอกว่าลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันเต็มที่ แต่วันนี้ยังไม่ชัดเจน โดยมารยาทผมก็ต้องรอดูผู้บังคับบัญชาผมด้วยว่าจะไปทางไหน
มั่นใจหรือไม่ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ฟอร์มทีมขึ้นมา จะสามารถช่วยงานรัฐบาลและขับเคลื่อนงานการเมืองได้?
ยอมรับว่าการเมืองไม่ง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะมีเงื่อนไขและปัจจัยเยอะมาก แต่ตอนนี้เป็นจังหวะดี ด้วยรัฐธรรมนูญ ที่เปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองใหม่ๆ เลือกตั้งใช้บัตรใบเดียว นับทุกคะแนนเสียง ด้วยพรรค ปชป. และพรรค พท. แตกแยกกันอยู่ ต่อสู้กันอย่างรุนแรง และทั่วโลกก็เอาคนรุ่นใหม่มาบริหารประเทศ จึงอาจเป็นจุดเปลี่ยนของการเมืองเด็กรุ่นใหม่ 7 ล้านคนที่ไม่เคยเลือกตั้งเลย เวลานี้จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่จะเปลี่ยนการเมืองไทยให้สร้างสรรค์ เพราะถ้าไม่เกิดวันนี้ อาจไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ส่วนผมจะทำได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นักการเมืองคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคอื่นๆ ถ้าทำได้ เราก็ยินดีด้วย
เหมือน พล.อ.ประยุทธ์จะต้องการคะแนนเสียงจากกลุ่มคนที่ยังไม่เคยเลือกตั้ง?
ท่านนายกฯให้ความสำคัญกับคนทุกกลุ่ม แต่กับคนกลุ่มที่ยังไม่เคยเลือกตั้ง ท่านอาจให้ความสำคัญมากกว่า เพราะอยากให้เขาเข้าใจการเมืองให้ดีเสียก่อน จะตัดสินใจเลือก อย่าเลือกตามกระแส อย่าเลือกเพราะความสะใจ เพราะมันมีผลต่อการบริหารประเทศ เราเคยเห็นแล้วว่าการเลือก ส.ส.ด้วยความมัน ก็จะได้ ส.ส.เพื่อความมัน คนกลุ่มนี้เขาไม่เคยเลือกตั้งมาก่อน ก็อยากให้เลือกคนเก่ง คนดี ไม่มีการซื้อเสียง และเขาควรจะได้รับข้อมูลดีๆ อย่างครบถ้วน
แน่นอน ทุกคนต้องการคะแนนเสียงของคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถือเป็นฐานเสียงกลุ่มใหญ่ เป็นฐานเสียงกลุ่มใหม่ ที่ไม่เคยใส่เสื้อสีอะไรเลย ไม่เคยอยู่พรรคไหน ไม่เคยมีความแตกแยกทางการเมืองเลย เป็นผ้าขาว ยังไม่มีความเปรอะเปื้อน ไม่มีพรรคการเมืองในใจ ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกพรรคย่อมอยากได้ พูดอีกอย่าง พวกเขาเหมือนลูกค้ารายใหม่ และการช่วงชิงลูกค้ารายใหม่นี้จะเป็นสีสันทางการเมือง การเมืองมันสนุกตรงนี้ ดังนั้น 4-5 เดือนหลังจากนี้ เราจะเห็นวิธีการของแต่ละพรรคการเมือง ในการสร้างความนิยมให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ และคนกลุ่มต่างๆ จากนี้ไปจะเห็นความเข้มข้นทางการเมือง เพราะคนกลุ่มนี้มีกว่าหลายล้านเสียง ได้ ส.ส.เขตกว่า 30 คน ถือว่าเยอะมาก
น.ส.บุษยา แก้วกำพล และนายอนุชา ทองเติม
