เมื่อวันที่ 25 กันยายน นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามถึงว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 4 คำถาม
ระบุว่า “ด้วยรักและปรารถนาดีต่อพรรคประชาธิปัตย์อันที่จริงแล้วผมเองได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่พรรคมีมติบอยคอตการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2556 แม้จะได้รับเกียรติจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่านให้กลับไป แต่เมื่อผมตัดสินใจแล้วไม่มีวันหวนกลับและประกาศเดินหน้าต่อสู้กับเผด็จการและระบอบเผด็จการทุกรูปแบบเพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ประกาศจุดยืนของตัวเองว่าต่อให้ตายจะไม่ยอมก้มหัวรับใช้เผด็จการ และผมเองพิจารณาแล้วเห็นว่าพรรคการเมืองที่ถือธงนำต่อสู้กับเผด็จการในฝ่ายประชาธิปไตยคือพรรคเพื่อไทย หรือหากพรรคเพื่อไทยถูกทำลายทิ้งด้วยกลไกของระบอบเผด็จการ เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองของเผด็จการ เราก็จะตั้งพรรคใหม่ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อธรรม หรือพรรคเพื่อชาติ หรือพรรคอะไรก็ได้ที่พวกเราฝ่ายประชาธิปไตยจะใช้เป็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อต่อสู้กับเผด็จการและเครือข่ายของเผด็จการให้ชนะให้ได้ เพราะผมตั้งใจตั้งปณิธานที่จะร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับฝ่ายประชาธิปไตย สู้ทุกรูปแบบจนกว่าจะชนะต่อระบอบเผด็จการด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรงต่อประชาชน ไม่มีปิดบังอำพรางซ่อนเร้น
ผมเองก็ไม่ควรที่จะพูดถึงพรรคเก่าซึ่งอาจจะทำให้หลายท่านไม่สบายใจ ปล่อยให้ท่านตัดสินใจกันเองว่าจะเดินต่อไปอย่างไร จะเลือกใครมาเป็นหัวหน้าเพื่อนำพาพรรคของพวกท่านต่อไป แต่เมื่อมาดูบริบทของประเทศไทยของเรา ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านการเมืองแล้วมันเกี่ยวโยงกัน เพราะพวกเราคือคนไทยด้วยกัน อยู่ในประเทศไทยของเราด้วยกัน เปรียบเสมือนเป็นร่างกายประเทศไทยเดียวกัน การเลือกตั้งผู้นำพรรคของพวกท่านมันก็ย่อมกระทบต่อแนวทางการต่อสู้กับฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะ
“1.ขณะนี้ระบอบเผด็จการมีความเข้มแข็งมากหลังจากพวกเขาทำการรัฐประหาร ปล้นอำนาจประชาชนไปตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 พวกเขาได้วางระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และคำสั่ง คสช.ที่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายเผด็จการให้ได้เปรียบทุกอย่าง มีเงินงบประมาณจากภาษีของประชาชนใช้อย่างเหลือเฟือ วางเครือข่ายบุคลากรทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกเหล่าทัพ คือมีทั้งเงิน มีทั้งคน และมีทั้งอาวุธ รวมไปถึงอำนาจฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรี อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติคือ สนช. รวมไปถึงอำนาจฝ่ายตุลาการหลายคนที่พร้อมจะรับใช้กฎหมายตามที่ฝ่ายเผด็จการตราขึ้นในนามของกระบวนการยุติธรรมด้วย อาจเรียกพวกเขาว่าระบอบเผด็จการ ที่สำคัญพวกเขามีกลุ่มทุนผูกขาดที่เป็นทุนขนาดใหญ่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังหลายบริษัท สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย พวกเผด็จการจึงเป็นเลือดที่เป็นพิษ เป็นมะเร็งร้ายที่กำลังกัดกร่อนกินสังคมไทยอยู่
2.ฝ่ายการเมืองเราจะแยกออกเป็น 2 ฝ่าย
2.1 ฝ่ายประชาธิปไตยที่ประกาศชัดเจนที่จะต่อสู้เพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบและถือธงนำคือพรรคเพื่อไทย หรือเพื่อธรรม หรือเพื่อชาติ หากเพื่อไทยถูกทำลายพรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย
2.2 พรรคการเมืองที่ฝ่ายเผด็จการหลายพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปูพรมให้พวกเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไปมีหลายพรรค แต่จะไม่ขอเอ่ยชื่อ แต่พฤติกรรมแสดงออกได้ชัดเจน เช่น จะเอานายกรัฐมนตรีคนนอก จะสนับสนุน คสช. มีนโยบายสอดคล้องกับ คสช. หรือบางพรรคก็ประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป พรรคการเมืองเหล่านี้คือพวกเผด็จการที่ต้องการให้ระบอบเผด็จการสามารถสืบทอดอำนาจต่อไป เป็นเครือข่ายผู้รับใช้เผด็จการ เพื่อให้เผด็จการใช้เป็นพรมปูรองรับเท้าให้เผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไปในคราบเสื้อคลุมประชาธิปไตย
ส่วนท่านพรรคประชาธิปัตย์คือพรรคการเมืองหลักพรรคหนึ่งของประเทศไทยของเรา คนที่จะมาเป็นหัวหน้าจึงสำคัญต่อทิศทางการเมืองของไทยมาก ซึ่งไม่ว่าใครจะได้รับเลือกมาเป็นหัวหน้าพรรค ระหว่าง ท่านอภิสิทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับ คุณหมอวรงค์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก ผมก็เป็นกำลังใจและยินดีล่วงหน้า แต่ไม่ว่าท่านใดจะเป็นหัวหน้า อยากจะขอความกรุณาให้ท่านได้ตอบคำถามเหล่านี้ต่อสังคมให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา เป็นสัญญาประชาคม และซื่อตรงไม่กั๊ก คือ
1.ท่านจะสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ คสช.เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ หรือจะยอมรับนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือไม่
2.ท่านจะคว่ำบาตรหรือบอยคอตการเลือกตั้งอีกหรือไม่
3.ท่านจะร่วมล้างมรดกบาปของเผด็จการ ทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และคำสั่งใดๆ ของคณะรัฐประหาร ที่ออกมาเพื่อกดขี่ข่มเหงคนไทย ทำลายระบอบประชาธิปไตยทุกอย่างหรือไม่
4.ท่านจะร่วมกับพวกเราดำเนินการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนทรัพย์สินที่พวกเผด็จการทุจริตคดโกงคนไทยไปคืนให้กับคนไทยและประเทศไทยของเราหรือไม่ และเอาผิดกับคณะรัฐประหารและเครือข่ายเผด็จการหรือไม่
ประเทศไทยของเราถึงเวลาแล้วที่จะต้องพ้นจากยุคมืดที่เผด็จการสร้างมากดขี่ข่มเหงพวกเรา แล้วเรามาแข่งกันทำความดี เสนอนโยบายที่ดี ทำผลงานเพื่อประชาชนและประเทศไทยของเราเพื่อลูกหลานของพวกเรา ให้ไทยสามารถแข่งขันกับสังคมโลกและยืนอย่างมีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในเวทีโลก ล้างระบอบเผด็จการให้หมดสิ้น จะได้หรือไม่
ด้วยรักและปรารถนาดี”