ไม่ว่าแผนส่ง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ไปยึดพรรคประชาธิปัตย์จะสำเร็จหรือล้มเหลว
สำเร็จ คือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ได้เป็นหัวหน้าพรรค
ล้มเหลว คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม
แต่กล่าวในทาง “ยุทธศาสตร์” ถือว่าได้ “ชัยชนะ”
เพราะว่าเป้าหมายอย่างแท้จริงในการดำเนิน “ยุทธวิธี” ในการศึกครั้งนี้ คือ ทำลายสถานะและความมั่นคงของพรรคประชา ธิปัตย์
นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่มีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะแข็งแกร่งและมั่นคงเหมือนเดิม
หากนำเอาทุก “ยุทธวิธี” ในการฟาดกระหน่ำเข้าใส่พรรคประชาธิ
ปัตย์ก็จะประจักษ์ในความโหดเหี้ยม อำมหิต
อย่างเบาๆ คือ การใช้ “พลังดูด”
ไม่ว่าจะใช้ผ่านกลไกของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะใช้ผ่าน กลไกของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
อย่างหนักๆ คือ การใช้กระบวน”แย่งยึด”
นั่นก็โดยมอบหมายให้ นายถาวร เสนเนียม ผลักดัน นพ. วรงค์ เดชกิจวิกรม เข้าช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับ นายอภิ สิทธิ์ เวชชาชีวะ
หากได้รับชัยชนะก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะเท่ากับส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาอยู่ในแนวเดียวกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย และเสริมความมั่นคงให้กับพรรคพลังประชารัฐ
หรือถึงไม่สามารถแย่งยึดได้ สภาพของพรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมจะอ่อนแรงโรยรา
โอกาสของการสืบทอด”อำนาจ”ก็ยิ่งมีหลักประกัน
หากมองจากพรรคการเมืองอื่น ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย
อย่าได้สะสาแก่ใจต่อชะตากรรมของพรรคประชาธิปัตย์
เพราะนี่ย่อมเป็น “บทเรียน” เตือนใจว่า พรรคใดก็ตามที่ไม่ยอมทำตามก็จะประสบชะตากรรมแบบเดียวกับที่พรรคประชาธิ ปัตย์กำลังเป็นอยู่
เนื่องจากเป็น”ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้”ตามความจัดเจนแห่ง”การศึกมิหน่ายเล่ห์”อันท่านซุนวูได้เคยเตือนเอาไว้พันกว่าปีมาแล้ว