เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที-200 กับอัลฟ่า-6 ซื้อขายกันในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2548 ถึงปี 2553 มี 19 หน่วยราชการรุมกันซื้อรวมทั้งสิ้น 1,354 เครื่อง เป็นเงิน 1,135 ล้านบาท
เมื่อฉาวว่าเป็น “ค่าโง่พันล้าน” บางคนก็เถียงเอาว่า “ไม่น่าโง่” อาจมีคน “แกล้งโง่”
ที่อังกฤษ มีผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดนำเอาจีที-200 กับอัลฟ่า-6 มาแกะพิสูจน์ แล้วยืนยันว่า คือ กล่องพลาสติกเปล่าๆ กลวงๆ ลวงโลก
ศาลอังกฤษพิพากษา “จำคุก” พร้อมกับ “ยึดทรัพย์” ผู้ผลิตและจำหน่าย
ในประเทศไทยตอนนั้นยังดื้อและด้าน แต่เมื่อทนแรงเสียดทานจากโลกโซเชียลกับ อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิทยาศาสตร์จากจุฬาฯไม่ไหว จึงมีการตั้งคณะตรวจพิสูจน์
ที่สุดก็ได้ข้อสรุปชัดเจนพอจนทำให้รัฐบาลมีคำสั่งระงับการใช้งาน
จีที-200 กับอัลฟ่า-6 พบจุดจบ!
เมื่อเกิดความเสียหายและน่าอับอายขนาดนั้น หน่วยงานต่างๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาร้อง
“ดีเอสไอ” สอบสวนดำเนินคดี ส่งพนักงานอัยการฟ้องศาลรวม 16 คดี
วันนี้ มี 3 คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว
1 คดีที่หน่วย “ศรภ.” เป็นผู้เสียหาย ศาลยกฟ้อง อยู่ระหว่างอุทธรณ์
2 คดีที่กรมสรรพาวุธ กองทัพบก เป็นผู้เสียหาย วงเงินกว่า 600 ล้านบาท ศาลพิพากษาให้จำคุกผู้บริหารบริษัท เอวีเอ แซท คอม ตัวแทนจำหน่าย ในความผิดฐานฉ้อโกง 10 ปี
3 คดีที่กรมราชองครักษ์ เป็นผู้เสียหาย วงเงิน 9 ล้านบาท ศาลพิพากษาให้จำคุก 9 ปี
เหตุที่ศาลลงโทษก็เพราะเห็นว่า สินค้ามีราคาสูง ผู้ขายจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติและประสิทธิภาพของสินค้าก่อนส่งมอบเสมอ หรืออาจรู้ก่อนแล้วว่า เครื่องจีที200 ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังขายให้กับหน่วยงานรัฐ จำเลยไม่ใส่ใจในการซื้อขายสินค้า ศาลเชื่อว่าจำเลยมีเป้าหมายแสวงหาผลประโยชน์ มีความผิดฐานฉ้อโกง
“ผู้ขาย” กำลังถูก “ตัดสินกรรม”
ที่น่าติดตามต่อไปด้วยใจระทึกก็คือ “ผู้ซื้อ”
ตามปกติคนเรา แค่จะซื้อหลอดไฟราคาไม่กี่สิบบาทสักดวง ยังต้องทดสอบว่า ใช้ได้หรือไม่ และถ้าแม้นว่าใช้ได้ แต่เมื่อนำไปใช้แล้วกลับใช้ไม่ได้จริงๆ ยังต้องเอาสินค้าไปคืน ไปเคลม
“กรรม” เป็นสมบัติเฉพาะตน ของใครของมัน ทำแทนกันไม่ได้
ซื้อกันเข้าไปได้อย่างไร พลาสติกกลวงๆ ท่อนหนึ่งราคาเป็นแสนเป็นล้าน !?!!