วันนี้ (7 ตุลาคม) รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต แสดงความเห็นถึงสถานการณ์การเมืองไทยในอนาคต ระบุว่า
ด้วยเงื่อนไขเชิงโครงสร้างรัฐธรรมนูญ บวกกับ ความนิยมของประชาชนจำนวนไม่น้อยต่อตัวพลเอกประยุทธ์ รวมทั้งการครอบครองอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ และการมีเงินทุนจำนวนมหาศาลที่จะใช้ในการเลือกตั้ง
โอกาสที่พรรคการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมีสูงกว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
แต่สิ่งที่พึงระลึกเอาไว้คือ บทเรียนทางประวัติศาสตร์บอกให้เราทราบว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารนั้น นอกจากจะไร้สมรรถนะในการบริหารการเมืองภายในระบบรัฐสภาแล้ว ยังขาดความสามารถในการรับมือและจัดการกับการเมืองนอกสภาอีกด้วย
ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจึงมีโอกาสเกิดขึ้นสูง จากแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกรัฐสภา ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นไปได้ทางการเมืองอย่างน้อย ๓ ประการตามมา ภายในเร็ววัน อาจไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ
อย่างแรกรัฐบาลนอมินีคณะรัฐประหารลาออก และมีพรรคการเมืองอื่นเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลแทน
อย่างที่สอง รัฐบาลอาจยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
และอย่างที่สาม อาจมีคณะรัฐประหารชุดใหม่เกิดขึ้น ล้มล้างรัฐบาล และนำประเทศสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง
สิ่งที่คณะรัฐประหารและผู้สนับสนุนกระทำอยู่ในเวลานี้ เป็นการตอกย้ำความจริงที่ว่า
ตราบใดที่กรอบความคิดทางการเมืองของกลุ่มอำนาจนำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทหารหรือนักการเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือถูกประชาชนกดดันให้เปลี่ยนแปลง
ตราบนั้นวงจรน้ำเน่าของการเมืองไทยก็ยังคงทำงานของมันต่อไป